บริษัทเตรียมรับแรงกระแทก “Revenge Quitting” เทรนด์ใหม่ปี 68 พนักงานแห่ลาออก แก้แค้นการทำงานหนัก

Economics

World Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

บริษัทเตรียมรับแรงกระแทก “Revenge Quitting” เทรนด์ใหม่ปี 68 พนักงานแห่ลาออก แก้แค้นการทำงานหนัก

Date Time: 15 ธ.ค. 2567 12:36 น.

Video

ไทยฝันเป็น “ฮับการเงิน” แต่จะไปให้ถึงยังไงดี ? | Digital Frontiers

Summary

  • นายจ้างเตรียมรับแรงกระแทก “Revenge Quitting” เทรนด์ใหม่ปี 2568 พนักงานแห่แก้แค้นด้วยการลาออก ไม่ทนทำงานหนัก เงินน้อย ถูกมองข้าม

ตลาดแรงงานทั่วโลกต้องเผชิญกับการ lay off ครั้งใหญ่ต่อเนื่องตั้งแต่ 2566 ลากยาวจนถึงปีนี้  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่มีการจ้างงานจนเฟ้อในช่วงโควิดและฟองสบู่แตก เพราะสภาพเศรษฐกิจที่เงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพสูง ผลักให้คนตกงานหลานล้านคน

แต่ในปี 2568 ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ตลาดแรงงานจะค่อยๆ ปรับดีขึ้น เข้าสู่สภาวะปกติ สะท้อนจากความต้องการจ้างงานในตำแหน่ง HR หรือ ทรัพยากรบุคคลที่เพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม

แม้การเปลี่ยนงาน คนเก่าไปคนใหม่มา จะเป็นเรื่องปกติที่บริษัทต้องเจอ แต่ในปี 2568 ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดแรงงานที่ผ่อนคลายลง เราอาจเห็นอัตราการลาออกของพนักงานสูงขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากความไม่พอใจในการทำงานที่เพิ่มขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พนักงานหลายคนแก้แค้นด้วยการลาออก หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ “Revenge quitting”


Edel Holliday-Quinn นักจิตวิทยาด้านธุรกิจ กล่าวกับ Business Insider ว่า พนักงานบางคนรู้สึกหมดไฟและไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่ควร เนื่องมาจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและการบังคับให้ทำงานเข้าออฟฟิศสลับ Hybrid

ดังนั้นในปี 2568 เมื่อตลาดแรงงานผ่อนคลายลง หลายคนจึงคิดว่า "ปีใหม่ ต้องเปลี่ยนงานใหม่" นี่อาจเป็นปีที่พวกเขาตัดสินใจลาออกจริงๆ ไม่ใช่แค่ quiet quitting เหมือนที่ผ่านมา

สภาพการทำงาน TOXIC สาเหตุพนักงานหมดใจ

Businessolver บริษัทบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ได้ทำการสำรวจพนักงาน ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล และซีอีโอจำนวน 20,000 คน จาก 6 อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสถานะของความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน จากรายงานพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 42% และซีอีโอ 52% บอกว่าพวกเขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ

Beth Hood ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Verosa แพลตฟอร์มอบรมความเป็นผู้นำและการจัดการ ให้ความเห็นว่า ความไม่พอใจของพนักงานนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว 


“แรงจูงใจภายใน เช่น ความเชื่อมโยง ความหมาย และความรู้สึกปลอดภัยในการทำงาน มักจะค่อยๆ ลดน้อยลง เมื่อแรงจูงใจเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนอง กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจ และแยกตัวออกจากสังคมการทำงาน จนทำให้พนักงานตัดสินใจลาออกในที่สุด”


แนวคิดการทำงานที่แตกต่างในแต่ละช่วงวัย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ผลักดันให้พนักงานลาออกบ่อยขึ้นเช่นกัน โดยคน Gen Z มักลังเลที่จะทุ่มเทเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เนื่องจากมองว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นไม่คุ้มค่า 


"พนักงานรุ่นใหม่ ไม่เต็มใจที่จะทนต่อวัฒนธรรมการทำงาน ที่ล้าสมัยหรือมีลำดับชั้นที่เข้มงวด บริษัทที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับความคาดหวังเหล่านี้ จะประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรรุ่นใหม่" Holliday-Quinn กล่าว


ดังนั้นเพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรนานขึ้น บริษัทจำเป็นต้องลงทุนฝึกฝนให้ผู้นำองค์กร สามารถสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความเข้าใจและเห็นใจ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มักลาออกเพราะหัวหน้า ไม่ใช่บริษัท

สอดคล้องกับรายงานของ Businessolver ที่พบว่า ซีอีโอกว่า 55% เชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้นำด้วยความเห็นอกเห็นใจในการทำงาน แต่มีพนักงานเพียง 28% เท่านั้นที่เห็นด้วยจริงๆ

ที่มา

ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ