คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น แถลงต่อรัฐสภาในวันนี้ (17 พ.ย.)ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการออกจาก นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ (Ultra-loose Policy) ก็ต่อเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการพิจารณาซื้อและถือครองกองทุนดัชนีรวมหุ้น (ETF) ด้วย
“เราจะพิจารณายุติการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนและอัตราดอกเบี้ยติดลบ หากเราสามารถคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะคงที่และยั่งยืนตามเป้าหมาย 2% ของเรา”
คาซูโอะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การพิจารณายุตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ จะขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ ราคา และเงื่อนไขทางการเงินในขณะนั้น
สําหรับตอนนี้ BOJ จะต้องอดทนในการคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่าญี่ปุ่นจะสามารถบรรลุอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน
แม้เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ เร่งไปสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในปีงบประมาณ 2569 แต่สิ่งนี้ต้องมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการอันเป็นผลมาจากการเติบโต ของค่าจ้าง
ในช่วงที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้พยายามดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หลังต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด มาอย่างยาวนานถึง 25 ปี แม้นโยบายดังกล่าวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งต่อต้นทุนไปยังผู้บริโภค ผลักดันให้เกิดการขึ้นค่าแรงทั้งรัฐบาลและภาคเอกชน
แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นอุปสงค์การใช้จ่ายภายในประเทศได้ เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีแนวโน้มรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายและฝากเงินในธนาคารมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ยังหดตัวที่ 2.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส และหดตัวมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะติดลบเพียง 0.6%
ปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสนี้ มาจากการบริโภคและรายจ่ายการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลง ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินเยน และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจที่ซบเซา จะยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับ BOJ ในการพิจารณาออกจากนโยบายดอกเบี้ยติดลบ ที่เป็นดาบสองคมต่อระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น
อ้างอิง