ราคาน้ำมัน ดีดตัวกลับไปสู่ระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่กลุ่มฮามาส กองกำลังติดอาวุธของปาเลสไตน์เปิดฉากโจมตีอิสราเอลบริเวณฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันขาดตลาด ผลักดันราคาทองคำและเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น
โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% มาอยู่ 86 ดอลลาร์ และ 89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตามลำดับ หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม เนื่องจากความต้องการที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัวทั่วโลก
ผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นหากสงครามระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล นำไปสู่การสร้างความขัดแย้งทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยผู้ค้าน้ำมันต่างจับตามองไปที่ความเคลื่อนไหวของอิหร่าน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่และผู้สนับสนุนกลุ่มฮามาส
นอกจากราคาน้ำมัน และราคาทองที่พุ่งสูงขึ้นแล้ว ความไม่แน่นอนของสงครามครั้งนี้ ยังผลักดันให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ อย่างยูโรและปอนด์ เงินเยนยังคงเป็นแหล่งพักเงิน และช่องทางเก็งกำไรสำหรับนักลงทุน และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตลาดฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐขาดทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกให้สูงขึ้น ท่ามกลางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง
กิลเลอร์โม ซานโตส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ธนาคาร iCapital กล่าวว่า
“หากมีการขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมัน จากประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพิ่มเติม โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบมีแพงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อภาวะเงินเฟ้อในชาติตะวันตก และอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงนานกว่าคาดการณ์”
อ้างอิง