ธนาคารโลก เตือน ปี 2566 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยคืบคลานในหลายประเทศ พร้อมหั่น GDP ทั่วโลกเหลือโต 1.7% โตช้าสุดนับตั้งแต่ปี 2536 ตลาดเกิดใหม่น่าห่วงสุด หลังเผชิญภาวะหนี้ท่วม เฝ้าระวังวิกฤติซัพพลายเชน อาจกดดันเศรษฐกิจเลวร้ายลง
หั่น GDP ทั่วโลกเหลือโต 1.7% โตช้าสุดนับตั้งแต่ปี 2536
ธนาคารโลก (World Bank) ปรับคาดการณ์การเติบโตในปี 2566 ลงเหลือระดับที่ใกล้จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ โดยในรายงาน Global Economic Prospects ฉบับล่าสุด มีการคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของทั่วโลก (GDP) เหลือเติบโตเพียง 1.7%
จากเดิมที่มีการคาดการณ์และเผยแพร่รายงานเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปี 2565 ว่าจะเติบโตที่ประมาณ 3.0% ซึ่งเป็นอัตราที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536 ที่นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2552 ที่กระทบจากวิกฤติซับไพรม์ และ 2563 ที่กระทบจากวิกฤติโควิด
ตลาดเกิดใหม่น่าห่วงสุด หลังเผชิญภาวะหนี้ท่วม
ทั้งนี้ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ลงเหลือ 0.5% อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ทั่วโลกน้อยกว่า 3 ปี หลังจากเกิดครั้งล่าสุด
ขณะที่การเติบโตของจีนในปี 2565 ที่ผ่านมาลดลงเหลือ 2.7% ซึ่งเป็นอัตราที่ช้าที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่กลางปี 1970 ซึ่งเป็นระยะแรกของการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เนื่องจากข้อจำกัดจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน อีกทั้งยังมีความวุ่นวายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภค การผลิต และการลงทุน
ในปี 2566 ธนาคารโลกคาดว่าการเติบโตของจีนจะดีดตัวขึ้นเป็น 4.3% แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ในเดือนมิถุนายน 0.9%
ส่วนการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่กำลังพัฒนา ต่างเผชิญความท้าทายกับภาระหนี้จำนวนมหาศาล เงินที่อ่อนค่า รวมถึงการลงทุนของภาคธุรกิจที่ชะลอตัวลง โดยธนาคารโลกคาดว่าแนวโน้มการลงทุนธุรกิจจะเติบโตในอัตรา 3.5% ต่อปีในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโคในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
เฝ้าระวังวิกฤติซัพพลายเชน อาจกดดันเศรษฐกิจเลวร้ายลง
สำหรับสาเหตุที่กดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของโลกนั้น เป็นการรับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความยืดเยื้อของสงครามของรัสเซียในยูเครน
ทั้งนี้ธนาคารโลกยังระบุอีกว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบาง การพัฒนาเชิงลบ อย่างอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดไว้ จนนำมาสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างกะทันหันเพื่อควบคุมการกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด ตลอดจนความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มลดลงเมื่อช่วงสิ้นปี 2565 จากการที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ โดยเฉพาะการเกิดวิกฤติซัพพลาย ที่อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจสูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจกดดันธนาคารกลางตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเลวร้ายลงกว่าเดิม.
ที่มา : Reuters