เล็งหารือจีนปราบทัวร์ขี้โกง เอกชนเสนอรัฐจัดวีแชตเตือนนักท่องเที่ยว

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เล็งหารือจีนปราบทัวร์ขี้โกง เอกชนเสนอรัฐจัดวีแชตเตือนนักท่องเที่ยว

Date Time: 26 พ.ค. 2560 07:15 น.

Summary

  • “กอบกาญจน์” จ่อหารือ “ซีเอ็นทีเอ” ร่วมมือปราบทัวร์ผิดกฎหมาย ย้ำไทยมีการเฝ้าระวังตรวจสอบตลอด เชื่อว่าหายไปจากระบบแล้วกว่า 95-98% ขณะที่แอตต้าเสนอรัฐบังคับใช้กฎหมายห้ามทัวร์ขายออปชันเกิน 3,000 บาท พร้อมขอให้ร่วมมือวีแชตเตือน

Latest

ล้อมคอกรถโดยสารสาธารณะยึดมาตรฐาน "UN”

“กอบกาญจน์” จ่อหารือ “ซีเอ็นทีเอ” ร่วมมือปราบทัวร์ผิดกฎหมาย ย้ำไทยมีการเฝ้าระวังตรวจสอบตลอด เชื่อว่าหายไปจากระบบแล้วกว่า 95-98% ขณะที่แอตต้าเสนอรัฐบังคับใช้กฎหมายห้ามทัวร์ขายออปชันเกิน 3,000 บาท พร้อมขอให้ร่วมมือวีแชตเตือนนักท่องเที่ยวจีนเมื่อถึงไทย

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซีเอ็นทีเอ)ที่จะมาประชุมร่วมกับกระทรวงเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าด้านความร่วมมือส่งเสริมท่องเที่ยว เรื่องการเพิ่มมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ที่ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ทางการจีนต้องการเป็นอันดับแรก ขณะเดียวกันจะหารือถึงความคืบหน้ามาตรการยกระดับทัวร์คุณภาพ การปราบปรามทัวร์ผิดกฎหมาย ซึ่งฝ่ายไทยได้ตรวจสอบตลอด และอยากติดตามจากซีเอ็นทีเอว่า ช่วยสอดส่องต้นทางในจีนถึงการขายแพ็กเกจทัวร์ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมด้วยหรือไม่ และซีเอ็นทีเอได้ดำเนินมาตรการลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นๆด้วยหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบ มีการปราบทัวร์ผิดกฎหมายในสิงคโปร์และมาเลเซียแล้ว

นอกจากนี้ ได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ให้ช่วยสอดส่องการทำธุรกิจนำเที่ยวมาประเทศไทยด้วย เนื่องจากที่ผ่านมามักพบปัญหาว่า นักท่องเที่ยวที่ไม่พอใจในบริการมักไปร้องเรียนทางการเมื่อกลับไปถึงประเทศแล้ว ทำให้เกิดเสียงสะท้อนกลับมาระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันแม้ทัวร์ผิดกฎหมายจะยังไม่หมดไป 100% แต่เชื่อว่าหายไปจากระบบแล้วกว่า 95-98% และยังต้องดำเนินมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำขึ้นมาอีก

นางกอบกาญจน์กล่าวว่า จะนำการวิจัยมาต่อยอดนโยบาย สิ่งที่สอดคล้องและนำมาจับคู่ได้ทันที ได้แก่ ผลการวิจัยเรื่องการเที่ยวข้ามพรมแดน ที่กระทรวงมีแผนอาเซียน คอนเน็กต์ อยู่แล้ว และล่าสุดจากการเดินทางไปพร้อมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ สปป.ลาว ได้ข้อสรุปในการส่งเสริมท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันใน 3 พื้นที่หลัก ซึ่งจำเป็นต้องผลักดันให้ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา เป็นด่านถาวร เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเพิ่มเติม และพัฒนาทั้งระบบร่วมกัน อาทิ ร้านอาหาร, ที่พัก, กิจกรรม คล้ายกับเส้นทางท่องเที่ยวในประเทศประชาคมยุโรป ขณะเดียวกันยังมีแนวคิดต่อยอดในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกันของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำ มีเป้าหมายพัฒนาให้คล้ายกับแม่น้ำดานูบของฝรั่งเศส

“3 พื้นที่หลักที่ตกลงในเบื้องต้นกับ สปป.ลาว คือ 1.บริเวณภูชี้ฟ้าและภูชี้ดาว ทางฝั่งไทยขึ้นกับ อ.เวียงแก่น และ อ.เทิง ของเชียงราย ส่วนฝั่งลาว ขึ้นกับเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว, 2. บริเวณช่องทางบ้านฮวก-กิ่วหก โดยไทยขึ้นอยู่กับ อ.ภูซาง จ.พะเยา และทางลาวขึ้นกับเมืองคอบ แขวงไซยะบุรี, 3. บริเวณแก่งผาได อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน ด้วยการวางแผนแม่บทให้สอดคล้องกันได้”

ด้านนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้องการให้ภาครัฐดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายห้ามทัวร์ขายบริการนำเที่ยวเสริม (ออปชันทัวร์) ราคาสูงเกิน 3,000 บาทมาใช้ และติดตามผลให้เข้มข้นมากกว่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีการบังคับขายในราคาสูงเกินความเป็นจริง และการทิ้งทัวร์เมื่อลูกค้าไม่ยอมจ่ายเงินซื้อออปชันเพิ่ม ขณะนี้แม้ทัวร์ผิดกฎหมายจะลดลงมาก แต่อาจมีเล็ดลอดเล็กน้อย ทางที่ดีควรวางมาตรการป้องกัน โดยใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ดีกว่า “ได้เสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ใช้เทคโนโลยีในการให้ข้อมูลเข้าถึงตลาดขาเข้า (อินบาวด์) จากจีน ด้วยการร่วมมือกับวีแชต ช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงฐานผู้ใช้งานกว่า 700 ล้านคนในจีน จัดทำบัญชีอย่างเป็นทางการของกระทรวง เพื่อส่งต่อข้อมูลสำคัญให้ทราบด้านการท่องเที่ยว เช่น กฎระเบียบต่างๆ การดูแลความปลอดภัย โดยตั้งระบบอัตโนมัติแจ้งเตือนทันที เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงประเทศไทย ให้ทราบถึงสิทธิในการใช้บริการนำเที่ยวภายใต้การจัดระเบียบล่าสุด เช่น เตือนให้ทราบการซื้อออปชันทัวร์ในราคาที่ไม่ควรเกิน 3,000 บาทตามข้อกำหนด เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนจีน ที่เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น”

พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พร้อมยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในขั้นต่อไป ด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกันของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สทท. เพื่อร่วมมือด้านวิชาการและการวิจัย นำข้อมูลมาช่วยต่อยอดการวางนโยบายต่างๆ โดยเริ่มต้นด้วยการจัดประชุมทางวิชาการ เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของไทย (ทีเอฟทีอาร์ไอ) ซึ่ง สกว.กำหนด 11 กรอบงานวิจัยภายใต้ 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน 2.กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวโดยชุมชน 3.กลุ่มการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยว.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ