นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ของธุรกิจสื่อบันเทิงหลายบริษัท ออกมาค่อนข้างดี โดยเฉพาะบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่มีการนำรายการที่โดดเด่นมาถ่ายทอดจนสร้างความนิยม และสร้างเรตติ้งได้อย่างมาก ทำให้สามารถเพิ่มรายได้จากโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 503% ท่ามกลางภาวะที่สื่อมีการแข่งขันที่รุนแรงในการแย่งชิงเม็ดเงินจากโฆษณา
“ปีนี้ผู้ประกอบการทีวีมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งรายใหม่และรายเก่า เพื่อแย่งเม็ดเงินโฆษณา ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหันมาลงทุนพัฒนาเนื้อหารายการให้โดนใจผู้ชมมากสุด โดยในปีนี้เชื่อว่าเวิร์คพอยท์จะมีความโดดเด่นสุดในการสร้างกำไร และปรับค่าโฆษณาในปีนี้สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่เฉลี่ย 62,000 บาทต่อนาที เป็น 65,000 บาทต่อนาทีได้ หลังจากการจัดเรตติ้งช่วงไพรม์ไทม์แซงหน้าช่อง 3 และช่อง 7 มาเป็นอันดับ 1 ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันสื่อธุรกิจที่เป็นช่องบันเทิงค่อนข้างได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก เช่น รายการโชว์ หรือหนังตลก เนื่องจากประชาชนต้องการคลายความเครียด ส่งผลให้สามารถดึงเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มต่อเนื่อง โดยเวิร์คพอยท์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 60 มีกำไรสุทธิ 173.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 503% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ เพียง 28.7 ล้านบาท โดยรายการหน้ากากนักร้อง หรือเดอะแมสก์ซิงเกอร์ ส่งผลให้เรตติ้งของช่องเวิร์คพอยท์ ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ 18.00-22.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีคนดูทีวีมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของประเทศในบางช่วงเวลาบริษัทโมโน ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 60 มีกำไร 23.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปีก่อน 128.87% เนื่องจากรายได้จากการโฆษณาปรับตัวดีขึ้น ด้านบริษัท เมเจอร์ ซีนี
เพล็กซ์ กรุ้ป มีกำไร 261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% สาเหตุมาจากลูกค้าดูภาพยนตร์เพิ่มขึ้นทั้งหนังตลกของไทยและหนังฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ.