เล็งเพิ่มมาตรการกระตุ้นอีก ตีปี๊บสัญญาณลงทุนกระตุ้นเอกชนเคลิ้มตาม

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เล็งเพิ่มมาตรการกระตุ้นอีก ตีปี๊บสัญญาณลงทุนกระตุ้นเอกชนเคลิ้มตาม

Date Time: 3 พ.ค. 2560 07:45 น.

Summary

  • สภาหอการค้าไทยชี้ “ทรัมป์” สายตรง “บิ๊กตู่” ทำภาพพจน์ไทยดีขึ้นทันใด ด้านคลังเล็งเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีแตะ 4% หวังภาคเอกชนลงทุนตามเพราะมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ขณะที่ประชุมร่วมภาคเอกชน (กกร.)

Latest

ที่สุดแห่งปี ! เปิด 10 ทำเล ราคาที่ดิน แพงสุด “ชิดลม-เพลินจิต” ทะลุ 3.7 ล้าน/ตร.ว. สงขลา รองแชมป์

สภาหอการค้าไทยชี้ “ทรัมป์” สายตรง “บิ๊กตู่” ทำภาพพจน์ไทยดีขึ้นทันใด ด้านคลังเล็งเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีแตะ 4% หวังภาคเอกชนลงทุนตามเพราะมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ขณะที่ประชุมร่วมภาคเอกชน (กกร.) ปรับส่งออกปีนี้ขึ้นเป็น 2–3% หลังส่งออกไตรมาสแรกดีเกินคาด แต่ยังคงจีดีพีไว้ที่ 3.5-4%

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อหาแนวทางเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีอัตราเติบโต 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ตามที่ รมว.คลังสั่งให้ไปศึกษาหารือเรื่องดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว สศค.ได้แถลงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ คาดจะเติบโต 3.6% ซึ่งตนมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 3.5% อย่างแน่นอน แต่จะมากกว่านั้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการลงทุนของภาคเอกชน การส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยว

“เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะถึง 4% หรือไม่คงต้องดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่จะออกมา รวมถึงความรู้สึกของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ แต่ขณะนี้มีสัญญาณที่ดี เนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ยังเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนภาคการลงทุนทั้งหมด เพราะการขอรับส่งเสริมการลงทุนเป็นเพียงการลงทุนบางส่วนเท่านั้น”

นายสมชัยกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งยอมรับว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยส่วนหนึ่งเกิดจากนักลงทุนของภาคเอกชน แม้จะยังไม่เต็มที่ก็ตามจึงทำให้อัตราเติบโตที่ผ่านมาต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น เพราะการลงทุนภาคเอกชนยังไม่มากพอ ซึ่งประเด็นนี้ตนจะกลับไปพิจารณาว่า มีมาตรการอะไรบ้างที่ออกไปแล้วแต่ไม่ได้รับความสนใจ หรือต้องเพิ่มเติมมาตรการอื่นๆอีก “กระทรวงการคลังต้องพยายามสนับสนุนให้เอกชนลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการผ่านมาตรการภาษีและมาตรการสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี รวมทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเป็นอีกมาตรการที่สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมที่อาจมีปัญหาความอ่อนไหว เช่น เมดิคัลฮับ อีโคโนมิกฮับ ซึ่งเราจับมาใส่ไว้ในอีอีซี ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนมากขึ้น”

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วม กกร.มีมติปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวการส่งออกในปีนี้ให้อยู่ที่ 2-3.5% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1-3% เนื่องจากการส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ออกมาดีกว่าที่ประมาณการไว้ แต่ กกร.จะยังคงคาดการณ์ตัวเลขอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ไว้ที่ 3.5-4% ตามเดิม โดยจะติดตามสถานการณ์การส่งออก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกระยะก่อนจะมีการพิจารณาว่าจะทบทวนตัวเลขอีกครั้งหรือยังคงยืนยันการคาดการณ์เดิมต่อไป

“การส่งออกไตรมาสแรกของปีนี้ ยังเติบโตได้ระดับหนึ่ง เพราะแรงกดดันคืออัตราเงินเฟ้อก็คลายตัวลง จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีทิศทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในยุโรปที่ลดลง จึงมองว่า การส่งออกช่วงที่เหลือของปีนี้ จะเติบโตต่อเนื่อง โดยสินค้าที่คาดจะขยายตัวต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์”

สำหรับความกังวลต่อปัญหาความไม่สงบในคาบสมุทรเกาหลีนั้น กกร.มองว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เห็นภาพชัดเจนในแง่ของผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน แต่ก็จำเป็นต้องติดตามใกล้ชิดเพราะหากนำไปสู่ความรุนแรงย่อมส่งผลกระทบแน่นอน โดยในระยะสั้นมองในแง่ของการท่องเที่ยว ก็อาจเป็นผลดีต่อประเทศไทยที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอาจพิจารณาเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น

นายกลินทร์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์สายตรงมาหารือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเชิญชวนไปเยือนสหรัฐฯนั้นถือเป็นทิศทางที่ส่งผลบวกต่อประเทศ ไทย เพราะสหรัฐฯก็มีการลงทุนในไทย ขณะเดียวกันนักลงทุนไทยก็ไปลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น ทำให้โอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนน่าจะมีแนวโน้มที่เป็นบวก ขณะที่กรณีมาตรการกีดกันสหรัฐฯก็อาจมีผลกระทบน้อยลงไปด้วย.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ