ปี 2567 แม้จะเป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่สดใสเท่าที่ควร กำลังซื้อค่อนข้างหืดจับ หลายธุรกิจออกอาการน่าเป็นห่วง
แต่ก็มีอย่างน้อย 5 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ได้สร้างความฮือฮา ช่วยสร้างความชุ่มชื่นในหัวใจให้แก่ชาวไทย ทั้งยังสร้างกระแสฮอตฮิตจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์
แถมบางปรากฏการณ์ยังไวรัลเป็น “ทอล์กออฟเดอะเวิลด์”
ที่สำคัญยังมีส่วนสำคัญในการปลุกเศรษฐกิจให้เพิ่มความคึกคัก
โดยทั้ง 5 ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือบุญหล่นทับ
แต่เป็นเพราะได้ผ่านกระบวนการรังสรรค์ชนิดเฉียบคมระดับเซียนเหยียบเมฆ
และยังเพราะทำถึง จึงได้ ปัง! ปัง! ปัง!
เรียกเสียงฮือฮาเมื่อ 2 อภิมหาโปรเจกต์มูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท ได้ฤกษ์เปิดตัวไล่เลี่ยกันในช่วงปลายปีนี้ ทั้งยังตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกันอันเป็นทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ นั่นคือ ถนนพระราม 4
โดยทั้ง 2 โครงการต่างวาดฝันว่าจะช่วยหนุนส่งถนนพระราม 4 ให้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ระดับโลก
ได้แก่ “วัน แบงค็อก” (One Bangkok) และ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) ที่ ณ ขณะนี้ได้ดันราคาซื้อขายที่ดินบนถนนพระราม 4 พุ่งทะยานแตะตารางวาละ 3 ล้านบาท
สำหรับโครงการ “วัน แบงค็อก” ใช้เงินลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท พัฒนาที่ดิน 104 ไร่ บนที่ดินสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทำเลทองหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน โรงแรมหรู 5 โรงแรม ที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรี 3 อาคาร พร้อมด้วยร้านค้าปลีก พื้นที่ศูนย์กลางสำหรับกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรม ฯลฯ
วางเป้าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการรวมใน “วัน แบงค็อก” ไม่ต่ำกว่า 90 ล้านคนต่อปี
ในส่วนของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ของบริษัท วิมาน สุริยา จำกัด อัน
เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลกับดุสิตธานี มูลค่า 46,000 ล้านบาท พัฒนาทำเลหัวมุมพระราม 4–สีลม เนื้อที่ 23 ไร่
มีจุดเด่นที่โลเกชัน ตั้งอยู่บนจุดตัดของรถไฟฟ้า 2 สาย หนุนปริมาณกราฟิกที่จะเข้ามาใช้บริการในดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จำนวนมาก
โครงการเริ่มเปิดบริการโรงแรม “ดุสิตธานี กรุงเทพ” แห่งใหม่ สูง 39 ชั้น จำนวน 257 ห้อง ราคาค่าห้องเริ่มต้น 12,000 บาทบวกๆต่อคืน ไปถึงราคาแพงสุด 201,700 บาทต่อคืน
สำหรับปี 2568 เตรียมเปิดอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า พื้นที่รูฟพาร์ก สวนสาธารณะชั้นดาดฟ้า 7 ไร่ รวมถึงคอนโดมิเนียม “เดอะ เรสซิเดนเซส แอท ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เป็นอาคารสูง 69 ชั้น 406 ยูนิต
ทั้ง 2 โครงการเมื่อเปิดครบสมบูรณ์ จะทำให้ย่านถนนพระราม 4 เป็นเมืองใหม่ที่อยู่ใจกลางเมือง!!
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่โดดเด่นของสังคมไทยในปี 2567 และยังกลายเป็นหนึ่งใน “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยที่ได้กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลก ก็คือ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ลูกฮิปโปแคระ แห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่เพิ่งเกิดเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ด้วยหน้าตาน่ารัก รูปร่างน่าเอ็นดู ได้กลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หลังมีการนำเสนอพฤติกรรมของหมูเด้ง
ไปเผยแพร่ใน TikTok และ Instagram สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการกินผลไม้แบบตั้งใจจนหน้าติดเปลือกแตงโม การวิ่งไล่บอลลูกเล็กๆในบ่อ การหาวแบบ “อ้าปากกว้าง” ซึ่งกลายเป็นมีมแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ
ทำเอาสวนสัตว์เปิดเขาเขียวพลอยคึกคัก เพราะใครต่อใครก็พากันมาต่อคิวยาวเหยียดเพื่อดูเซเลบน้อยตลอดทั้งวัน
บรรดาสำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำต่างพากันนำเสนอเรื่องของหมูเด้งในทุกวัน จนคนทั้งโลกพากันพูดถึง
ความนิยมนี้การันตีได้จากแพลตฟอร์ม X (Twitter) ซึ่งได้ประกาศรายชื่อที่สุดแห่งปี 2567 ในหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งวัดจากยอดเอนเกจเมนต์บนแพลตฟอร์ม โดยผู้ที่ครองตำแหน่ง “มีมแห่งปี” (Top Meme of the Year) ก็คือหมูเด้ง เนื่องจากปี 2567 มียอดโพสต์ภาพหมูเด้งจากผู้ใช้ X ทั่วโลกกว่า 7.7 ล้านโพสต์
แถมยังคว้า 1 ใน 63 บุคคลที่มีสไตล์แห่งปีจาก “นิวยอร์ก ไทม์ส” หนึ่งในสื่อใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด เพจ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” แฟนเพจทางการของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้เผยว่า “วิทาลิก บูเทอริน” (Vitalik Buterin) หนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในวงการคริปโตฯ ผู้ร่วมก่อตั้งและสร้างเหรียญ Ethereum (ETH) ได้มอบเงิน 10 ล้านบาท สนับสนุนในโครงการอุปถัมภ์สัตว์ป่า เพื่อสร้างบ้านใหม่ให้หมูเด้ง #MooDeng
“อรรถพร ศรีเหรัญ” ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า ผลลัพธ์ความสำเร็จจากการปั้น “หมูเด้ง” ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเติบโตพุ่งแรงถึง 4 เท่า จากเดิมเคยมี 3,000-4,000 คนต่อวัน เพิ่มเป็น 12,000 คนต่อวัน บางวันสูงถึง 14,000 คน และทำให้ยอดนักท่องเที่ยวเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวตลอดปี 2567 มากกว่า 1 ล้านคน ฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงยอด 1.2 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนโควิดระบาด
กระแสฟีเวอร์ของหมูเด้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้แก่ จ.ชลบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในพื้นที่ศรีราชา พัทยา บางแสน และบางพระ มีรายงานว่าโรงแรมที่พักและร้านอาหารมียอดจองเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่องมากถึง 90% ในช่วงวันหยุด
น้องหมีเนย อายุฉามขวบ มาสคอตสัญชาติไทย จากร้าน Butter Bear แบรนด์ลูกของ Coffee Bean by Dao กลายเป็นไอดอลที่โด่งดังที่สุดของปี 2567
และไม่เพียงโด่งดังในประเทศ ยังมีแฟนด้อมบินมาจากจีนและญี่ปุ่นเพื่อมาพบน้องหมีเนย จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องรีบดึงมาเป็นพรีเซนเตอร์ชวนเที่ยวไทยต่อจากลาบูบู้ มาสคอตสัญชาติจีนด้วย
ปกติน้องหมีเนยจะรอรับแฟนด้อมที่เรียกว่ามัมหมีหรือพ่อหมี ในช่วงเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียน และช่วงบ่ายวันเสาร์ และวันอาทิตย์ บริเวณหน้าร้าน Butter Bear ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ แต่ตอนหลังโด่งดังไปออกในหลายงาน เรียกว่าไปถึงที่ไหน ที่นั่นแตก
ความเป๊ะของท่าเต้นน้องหมีเนย ที่สามารถ Cover ศิลปินได้มากหน้าหลายตา ได้ส่งให้น้องหมีเนยโด่งดังยิ่งขึ้น จนกลายเป็นไอดอลสาวที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตกับหลายศิลปิน ไม่ว่าจะเป็น แบมแบม และ 4 EVE (โฟร์อีฟ) ส่งตัวเองโด่งดังถึงขนาดสามารถจัดแฟนมีต รับเหล่าแฟนคลับมาร่วมงานขายบัตรราคาถึงครึ่งหมื่น
ที่น่าเซอร์ไพรส์ คือ น้องหมีเนยสามารถคว้ารางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดนิยม ในงาน FEED Y AWARDS 2024 และได้รับรางวัล
ผู้สร้างปรากฏการณ์แห่งปี หรือ PHENOMENON OF THE YEAR ของ MINT AWARDS 2024 ที่มอบให้กับศิลปินดารารุ่นใหม่ด้วย
ความฮิตของอาร์ตทอยส์ลาบูบู้ (Labubu) ในไทยเกิดขึ้นเพราะ “ลิซ่า แบล็กพิ้งค์” ศิลปินชื่อดังระดับโลกได้ถ่ายรูปคู่กับพวงกุญแจ Labubu Macaron
ประจวบเหมาะกับที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ดึงลาบูบู้มาเป็นพรีเซนเตอร์ชวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย โดยพาลาบูบู้ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ และถ่ายทำเป็นภาพยนตร์โฆษณาสั้นๆไปโปรโมตในจีน
ในอีกมิติของความเป็นอาร์ตทอยส์ เรียกว่าเป็นกระแสที่คนไทยตามหาจนราคาพุ่ง ด้วยวิธีการขายพวงกุญแจ Labubu Macaron (ลาบูบู้ มาการอง) ในรูปแบบของกล่องสุ่ม (Blind Box) ในกล่องจะมีลาบูบู้ 6 แบบ 6 สี ให้สุ่มว่าจะได้สีอะไร และยังมีตัวละครลับซ่อนอยู่ หรือที่เรียกกันว่า Secret ซึ่งจะหายากกว่าสีทั่วๆไป ทำให้ลาบูบู้ตัวซีเคร็ตมีราคาสูงกว่าปกติ
Labubu Macaron จำหน่ายในร้าน POPMART โดยราคา 1 กล่องสุ่มอยู่ที่ 550 บาท ช่วงที่กระแสนิยมจัดๆ เสน่ห์ของตุ๊กตาแบบสุ่ม คือคนซื้อไม่รู้ว่าตัวที่อยู่ภายในกล่องคือตัวไหน จึงมีพ่อค้าแม่ค้านำไปขายต่อถึง 3,500 บาทต่อ 1 กล่องสุ่ม และหากซื้อยก Box จะอยู่ที่ 20,000 บาท และจากกระแสความฮิตมักจะทำให้ของที่จำหน่ายในช็อปหมดตั้งแต่วันแรก จึงเกิดธุรกิจรับต่อคิว รับหิ้ว รับซื้อ ทำให้ตลาดซื้อขายอาร์ตทอยส์คึกคักขึ้นไปอีก
ในปี 2567 วงการอาร์ตทอยส์กลายเป็นเทรนด์ฮิต จน POPMART เข้ามาตีตลาด ขยายถึง 6 สาขาในไทย สามารถจำหน่ายอาร์ตทอยส์ตัวฮิตอื่นๆได้ไปด้วย
กรี๊ดกันสนั่นทั่วไทย เมื่อ “ไอคอนสยาม” ตั้งใจให้เป็นจุดหมายเคาต์ดาวน์ระดับโลก จึงตั้งใจให้งาน Amazing Thailand Countdown 2025 นอกจากจะฮือฮาด้วยการแสดงพลุอลังการยาวที่สุดในประเทศไทยและกองทัพศิลปินดังหลายสิบชีวิตแล้ว ยังมีไฮไลต์เด็ดที่มีการโชว์เดี่ยวเอกซ์คลูซีฟครั้งแรกในประเทศไทยของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ศิลปินระดับโลกสัญชาติไทย
ไอคอนสยามแจ้งว่าการจัดงานเคาต์ดาวน์ปีนี้ ระหว่างวันที่ 29-31 ธ.ค. 2567 ได้ร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ชูประเทศไทยสู่ 1 ใน 5 สุดยอดจุดหมายปลายทางเคาต์ดาวน์ระดับโลก
โดยหนึ่งในไฮไลต์เด็ดในงาน Amazing Thailand Countdown 2025 ก็คือการนำสุดยอดศิลปินไอคอนิกกับการแสดงจาก “ลิซ่า” ศิลปินระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก ที่จะมาแสดงโชว์แบบจัดเต็มในค่ำคืนเคาต์ดาวน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“ลิซ่ามีความตั้งใจมากที่จะมาแสดงโชว์และร่วมฉลองก้าวสู่ปีใหม่กับคนไทย” พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็น Global Destination ที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยือน
“งาน Amazing Thailand Countdown 2025 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าจะมีผู้ชมการแสดงและผู้ชมถ่ายทอดสดงานผ่านช่องทางต่างๆมากกว่า 30 ล้านคนจากทั่วประเทศและทั่วโลก ปีนี้ได้รับการติดต่อจากสื่อต่างประเทศและ KOL (Key Opinion Leader-ผู้นำทางความคิด) จำนวนมากที่สนใจร่วมถ่ายทอดสดและรายงานข่าวในปีนี้ ทำให้มั่นใจว่างานเคาต์ดาวน์ของประเทศไทยครั้งนี้จะเป็น 1 ใน 5 ของสถานที่เคาต์ดาวน์ที่ดีที่สุดของโลก”
การจัดงานเคาต์ดาวน์ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างความคึกคักให้แก่โรงแรมใกล้ไอคอนสยามและเรือท่องเที่ยวดินเนอร์ (dinner cruise) ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
สำหรับลิซ่า หนึ่งใน “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่น่าภาคภูมิใจของไทย เพราะเป็นทั้งนักร้องและนักเต้นที่มีทักษะสูงระดับอินเตอร์
ที่น่าประทับใจก็คือเธอเป็นศิลปินสายเลือดไทย ที่มีความภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งการใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกับแฟนๆชาวไทยและต่างชาติ การสวมชุดไทย ถ่ายรูปและพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในไทย โดยหลายกิจกรรมที่เกิดจากลิซ่ายังสามารถช่วยดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทย กระจายสู่ภาคส่วนการท่องเที่ยว เมื่อแฟนคลับต่างชาติเข้ามาประเทศไทย หลายคนเลือกที่จะอยู่เที่ยวต่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้การท่องเที่ยวไทยคึกคักตามไปด้วย
ตลอดทั้งปีนี้เธอได้คว้ารางวัลมานับไม่ถ้วน อาทิ “Best K-Pop” จากเวที MTV VMAs 2024 ซึ่งเป็นการรับรางวัลครั้งที่ 2 ของเธอบนเวทีนี้
ขณะที่นิตยสาร Influencer UK ประกาศให้ “ลิซ่า” เป็น “ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2024” (Influencer of the Year) โดยรวบรวมผู้ทรงอิทธิพลทั่วโลก ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในรอบปี!!!
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม