เดินทางมาถึงสิ้นปีกันแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะเข้าสู่ปีใหม่ 2025 ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายไม่แพ้ปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2024 เรียกได้ว่าเป็นปีที่ “เศรษฐกิจโลก” ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งความเสี่ยงเดิมที่ต้องรับมืออย่างปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี
เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง กดดันหนี้ครัวเรือน สงครามการค้าที่ยังดำเนินต่อเนื่อง และความเสี่ยงใหม่ที่ต้องเฝ้าระวังจากการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก โดยเฉพาะการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามในตะวันออกกลางที่ขยายเป็นวงกว้าง
สำหรับปี 2025 นักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายสำนักมองไปในแนวทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจโลกจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่คาดว่าจะเร่งให้เงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางธนาคารกลางทั่วโลกที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลง ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ของทรัมป์อาจทำให้การค้าและการลงทุนโลกหยุดชะงัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องหาทางรอด คว้าโอกาสท่ามกลางความเสี่ยงในปีหน้า
Thairath Money สรุป 10 เทรนด์ธุรกิจที่น่าจับตามองและแนวโน้มธุรกิจ 5 อุตสาหกรรมในปี 2025 จากรายงาน THE WORLD AHEAD 2025 โดย The Economist มาเล่าสู่กันอ่าน ดังนี้
1. อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง เอื้อให้ธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สามารถลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป และกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น
2. การใช้จ่ายด้านไอทีเพิ่มขึ้น โดยมีการประเมินตัวเลขว่าจะเป็น 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทต่างๆ ต้องการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ ผลสำรวจพบว่า 30% ของบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่มีแผนลงทุนใน AI อย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024
3. ความกังวลปัญหาสังคมสูงอายุเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปี 2025 สัดส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 12% แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่เข้าถึงการดูแลสุขภาพ
4. รัฐบาลทั่วโลกจะผลักดันโครงการสีเขียว เพราะกระแสและความสนใจเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขยายวงกว้าง ทำให้การใช้พลังงานหมุนเวียนพุ่งสูงขึ้น แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลัก กินสัดส่วนมากกว่า 4 ใน 5 ของความต้องการใช้พลังงานทั่วโลก
5. รถยนต์ไฟฟ้าเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ โดยคาดว่ายอดขายในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด แต่ความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพจะเป็นอุปสรรค ผลักดันให้คนกลับไปซื้อรถยนต์สันดาป
6. สายการบินให้คำมั่นลดการปล่อยคาร์บอน แต่ในขณะเดียวกันก็สั่งซื้อเครื่องบินลำใหม่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 1,600 ล้านคน ทั้งนี้การท่องเที่ยวสร้างก๊าซเรือนกระจก 5-8% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
7. สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยยังน่ากังวล สำหรับหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก โดยหนี้อสังหาริมทรัพย์มูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะครบกำหนดชำระพร้อมกันในปีหน้า ผลักดันให้ราคาที่อยู่อาศัยแพงขึ้น แม้ว่าราคาที่อยู่อาศัยในจีนจะยังไม่ฟื้น
8. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะผลักดันให้ราคาโลหะทั่วโลกปรับสูงขึ้น 7.5% เนื่องจากความต้องการใช้โลหะที่เพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไปจนถึงสายเคเบิล
9. เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมจะกระตุ้นการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก มูลค่าการลงทุนคงที่ของรัฐบาลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นหนึ่งในสี่ของมูลค่า GDP โลก
10. บริษัทขนส่งสินค้าต้องปฏิบัติตามมาตรการ Emission Trading System (ETS) ของยุโรป ซึ่งอนุญาตให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมขนส่งสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณไม่เกิน 40% โดยจะต้องซื้อใบอนุญาตสิทธิ์ดังกล่าวเพื่อชดเชยการปล่อยมลพิษ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
แม้ว่าปี 2025 จะไม่เกิดความขัดแย้งสำคัญใดๆ แต่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดย GDP ของโลกจะเติบโตเพียง 2.5% เศรษฐกิจของยุโรปจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ตลาดเกิดใหม่จะทรงตัว เนื่องจากอุปสรรคทางการค้า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และอุปสรรคทางเทคโนโลยี อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่หนี้สาธารณะที่สูงและงบประมาณด้านการป้องกันประเทศจะจำกัดความสามารถในการใช้จ่ายของรัฐบาล
หลังจากที่อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกชะลอตัวลงในปีที่ผ่านมา แต่ในปี 2025 ยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 2% โดยยอดขายรถบรรทุกใหม่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4% เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวในตลาดเกิดใหม่ ทั้งนี้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งในสี่ แม้ว่าความต้องการจะต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ความกังวลเรื่องระยะทางและราคาที่สูงจะผลักดันให้ผู้ซื้อบางกลุ่มกลับไปใช้รถยนต์สันดาป
จีนจะทุบสถิติยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปีหน้า โดยครองสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น โดย BYD ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งเป้าที่จะขายรถยนต์ 1 ล้านคันนอกประเทศจีน โดยได้รับความช่วยเหลือจากโรงงานใหม่ในบราซิลและฮังการี ด้านบริษัท VinFast ของเวียดนามตั้งเป้าที่จะขยายตลาดไปยังอินเดียและอินโดนีเซีย
ด้านบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในตะวันตกก็เตรียมแผนโต้กลับการดิสรัปของรถ EV โดย Volkswagen และ Tesla จะพัฒนารถยนต์ปลั๊กอินที่ราคาถูกลง ขณะที่ Toyota เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับประเทศจีน แต่การขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีนในหลายประเทศจะทำให้แผนการผลิตรถยนต์พลังงานสะอาดมีความซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนการผลิตในท้องถิ่นที่จะเข้มงวดมากขึ้นด้วย ทั้งนี้เมื่อห่วงโซ่อุปทานแยกออกจากกัน ผู้ผลิตรถยนต์จะหันไปหาโรงงานผลิตชิปและแบตเตอรี่แห่งใหม่เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
ความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้น 2% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.5 ล้านล้านตันเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2025 โดยแหล่งพลังงานส่วนใหญ่ 80% จะยังมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้การปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น 1.7 เท่าจากระดับในปี 1990 การใช้ถ่านหินจะลดลงในยุโรปและอเมริกาเหนือ แต่อินเดียและรัสเซียจะยังคงใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก การบริโภคถ่านหินของจีนจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว
เช่นเดียวกับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดย OPEC+ จะยังลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไป เพื่อคงราคาน้ำมันดิบ Brent ให้อยู่ที่ประมาณ 77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2025 แม้ว่าการผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC (ส่วนใหญ่มาจากทวีปอเมริกา) จะเพิ่มขึ้นก็ตาม ด้านสหภาพยุโรปจะยังหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันจากรัสเซีย เนื่องจากสาธารณรัฐเช็กได้เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำมันที่นำเข้าผ่านท่อส่งจากอิตาลี เช่นเดียวกับประเทศแถบบอลติกจะตัดการเชื่อมต่อจากโครงข่ายไฟฟ้าของรัสเซีย แต่ก๊าซของรัสเซียจะยังถูกส่งผ่านไปยังยุโรป ส่วนใหญ่ผ่านทางบัลแกเรีย
สหภาพยุโรปจะยังคงเลิกใช้น้ำมันของรัสเซีย เนื่องจากสาธารณรัฐเช็กเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำมันที่นำเข้าผ่านท่อจากอิตาลี ประเทศแถบบอลติกจะตัดการเชื่อมต่อจากโครงข่ายไฟฟ้าของรัสเซีย แต่ก๊าซของรัสเซียจะยังคงไหลไปยังยุโรป โดยส่วนใหญ่ผ่านบัลแกเรีย
พลังงานสีเขียวจะเติบโต พลังงานหมุนเวียน (รวมถึงพลังงานน้ำ) จะคิดเป็น 14% ของอุปทานพลังงานทั้งหมด พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์จะผลิตไฟฟ้าได้หนึ่งในหกส่วน รัฐคุชราตจะมีฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่จะผลิตไฟฟ้าได้ 4% ของอินเดีย แซมเบียจะสร้างมินิกริดพลังงานแสงอาทิตย์หลายสิบแห่งเพื่อให้บริการหมู่บ้านรอบนอก รัฐเท็กซัสจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่เชื่อมต่อกับกริดแห่งแรก จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และตุรกีจะเปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (ปลอดคาร์บอน) ทำให้มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมดทั่วโลก 447 เครื่อง
ปี 2025 เป็นปีชี้ชะตาอนาคตธุรกิจการเงินของสหรัฐฯ เนื่องจากจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (Basel 3) หลังจากในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น Bank of America, Goldman Sachs, Citigroup, Wells Fargo และ JPMorgan เพิ่มระดับทุนสำรองที่ 20% เพื่อรองรับวิกฤติการเงินในอนาคต ต่อมาในเดือน ก.ย.ได้ปรับลดระดับลงมาเหลือ 9% ระหว่างที่ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณา
คาดว่าธนาคารต่างๆ จะเข้ามาโน้มน้าวหน่วยงานกำกับดูแลให้เห็นถึงผลเสียของการปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าว โดยอ้างว่าการเพิ่มทุนสำรองจะส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร ทำให้นำส่งเงินปันผลผู้ถือหุ้นได้น้อยลง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนและธุรกิจน้อยลงไปด้วย อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าจะเอื้อให้ธนาคารเพิ่มทุนสำรองได้
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) จะส่งผลกระทบต่อการคำนวณเบี้ยของบริษัทประกันภัย อย่างไรก็ตาม Swiss Re ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยรายใหญ่ คาดการณ์ว่าในปี 2025 อุตสาหกรรมประกันจะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายได้เบี้ยประกันชีวิตจะสูงถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และรายได้เบี้ยประกันวินาศภัยจะสูงถึง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กฎหมายการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมจะเข้มงวดขึ้นในหลายประเทศ บริษัทต่างๆ ในสหภาพยุโรปจะออกรายงานความยั่งยืนฉบับแรก แต่การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้สหรัฐฯ ขยายขอบเขตการต่อต้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025 แม้ว่าใจกลางเมืองจะยังคงเงียบสงบกว่าก่อนเกิดโรคระบาด การเช่าอาคารสำนักงานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากนายจ้างจำนวนมากต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศ ร้านค้าในทำเลทองยังไปได้ แต่การเช่าคลังสินค้าคาดว่าจะทรงตัว จากการขายของออนไลน์ที่ลดลง แม้เมืองท่องเที่ยวจะคึกคัก แต่การสร้างโรงแรมจะชะลอ ยกเว้นในอ่าวเปอร์เซียและอินเดีย
ทั้งนี้แม้สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะถูกลง แต่การขาดแคลนซัพพลายจะทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าแพงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องสนับสนุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป ด้วยจำนวนที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น จำนวนคนเฉลี่ยต่อครัวเรือนจะลดลงเหลือ 2.4 คนในยุโรปและ 3.3 คนทั่วโลก
หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารยุโรปจะจับตาดูตลาดที่อยู่อาศัย เพื่อเฝ้าระวังสัญญาณฟองสบู่แตก สำหรับจีน ราคาที่อยู่อาศัยคาดว่าจะลดลง 4% แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาตรการพยุงตลาด ด้านมูลค่าอาคารสำนักงานในสหรัฐฯ จะลดลง ในขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะครบกำหนดชำระพร้อมกัน โดยสามในสี่เป็นสินเชื่อของบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในสหรัฐฯ
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศจะพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 1,600 ล้านคนในปี 2025 แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ก็สร้างความรำคาญให้กับคนในพื้นที่ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด จะกลับมาแซงหน้าระดับก่อนโควิด ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากมาตรการฟรีวีซ่า ส่งผลให้อินโดนีเซียอาจทำตาม ทั้งนี้แม้จีนจะผ่อนปรนเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศ แต่นักท่องเที่ยวจะช็อปปิ้งในต่างประเทศน้อยลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของเอเชียจะพุ่งแตะ 37% เท่ากับของยุโรป
ทั้งนี้ยุโรปจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่การประท้วงต่อต้านนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเมืองที่มีคนเยอะจะจำกัดการเช่าที่พักระยะสั้น และเรียกร้องให้นักท่องเที่ยวจากกว่า 60 ประเทศ รวมทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จ่ายเงิน 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับ "การยกเว้นวีซ่า" แต่บางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาจะต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากซาอุดีอาระเบียและแซมเบียลงทุนในโรงแรม
ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney