นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการบริหารจัดการปิโตรเลียมในพื้นที่อ่าวไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ส่วนแรกเป็นการโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 3/2549/71 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G12/48 โดยอนุมัติให้บริษัทโททาลเอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ โอนสิทธิ์ประโยชน์ และพันธะที่ถือครองอยู่ในพื้นที่นี้สัดส่วน 33.33% ให้แก่บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยได้มากขึ้น โดยแหล่งสัมปทานนี้ครอบคลุมบริเวณแหล่งผลิตปิโตรเลียมต้นคูนเหนือผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันและผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ 164 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งแหล่งนี้มีอายุสัมปทานเหลืออยู่จนถึงวันที่ 14 มี.ค.2578
ครม.ยังรับทราบการต่ออายุการผลิตปิโตรเลียมเลขที่ 3/2539/50 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข B8/38 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่แหล่งปิโตรเลียมบัวหลวงให้กับบริษัทแมคโค เอนเนอยี่ ไทยแลนด์ (บัวหลวง) ลิมิเต็ด ผู้รับสัมปทานและผู้ดำเนินงานสัมปทานรายเดิม ซึ่งจะหมดอายุสัมปทานในวันที่ 23 ต.ค.2568 โดยการต่ออายุสัมปทานต่อไปอีก 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. 2568 – 23 ต.ค.2578 โดยผู้รับสัมปทานได้เสนอข้อผูกพันการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ คิดเป็นมูลค่ารวม672 ล้านบาท ยังไม่รวมผลตอบแทนพิเศษ นอกจากนี้ สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 8/2559/76 แปลงสำรวจหมายเลขา G10/48 ครม.เห็นชอบโอนสิทธิ์ประโยชน์และพันธะที่ถือครองของบริษัทพลังโสภณ จำกัด ในสัดส่วน 11% ให้บริษัทแวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้บริษัทนี้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นในพื้นที่นี้ของแวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่อยู่ที่ 75% จาก 64% โดยมีผลิตปิโตรเลียมตามสัมปทานเดิม 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.2558 -7 ธ.ค.2578 ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานพิจารณาว่าจะช่วยให้เกิดประโยชน์ในการนำปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ค้นพบขึ้นมาพัฒนา รัฐจะมีรายได้ค่าภาคหลวงเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต