นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินระยะที่ 2 ภาครัฐจะเข้าไปช่วยเหลือ ผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อที่อยู่ในชนบท โดยพิจารณาเติมเงินเข้าไปเกือบ 1 ล้านล้านบาท ผ่านกลไกสถาบันการเงินของรัฐ ส่วนธนาคารพาณิชย์ จะหารือร่วมกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกครั้ง เพื่อหาแนวทางดำเนินนโยบาย การให้สินเชื่อผ่อนปรน ท่ีจะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ภาครัฐมีงบประมาณ เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ท่ีมีกว่า 4-5 ล้านล้านบาท ก็จะหาวิธีการนำออกมาใช้ เพื่อดูแลประชาชน
“รัฐบาลได้ลดอัตราเงินนำส่ง เข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) จาก 0.25%ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปี สำหรับรอบการนำส่งเงินปีหน้า เพื่อให้แบงก์รัฐมีความสามารถเข้าไปดูแลลูกค้า เช่น การลดดอกเบี้ย MRR หรือพักจ่ายดอกเบี้ย ชำระเฉพาะเงินต้น เป็นต้น”
ทั้งนี้ ธนาคารออมสิน จะเป็นภาคใหญ่ที่ดูแล ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่มสถาบันการเงิน ที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ดิจิทัลพีโลน สินเชื่อไม่มีหลักประกัน ท่ีจะดูให้ครอบคลุมทั้งหมด รวมทั้งดูเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ แบบแฮร์คัทหนี้ให้ด้วย ส่วนจะเป็นรูปแบบซอฟต์โลน หรือรูปแบบใด ยังไม่มีข้อยุติ. ขณะที่หนึ่งในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี กรณีมูลหนี้วงเงินไม่เกิน 5,000 บาทต่อราย เงื่อนไขกำหนดให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ 10% ของวงเงิน ส่วนที่เหลือจะยกหนี้ให้ ซึ่งพบว่ามีจำนวนมูลหนี้ไม่มาก