358 วัน กับ “เศรษฐา ทวีสิน” อวสานนักธุรกิจหมื่นล้าน ยอดนักขาย นายกฯ ที่อยากเห็น "คนจน" หายไป

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

358 วัน กับ “เศรษฐา ทวีสิน” อวสานนักธุรกิจหมื่นล้าน ยอดนักขาย นายกฯ ที่อยากเห็น "คนจน" หายไป

Date Time: 14 ส.ค. 2567 16:53 น.

Video

ล้วงลึกอาณาจักร “Pce” สู่บริษัทมหาชน ปาล์มครบวงจร | On The Rise

Summary

  • ย้อนเส้นทาง "เศรษฐา ทวีสิน" หลังศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 5:4 วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของเมืองไทย อวสาน นายกฯ ที่อยากเห็น “คนจน” หายไป เจ้าของฉายายอดนักขาย เจ้าวางแผน อดีตนักธุรกิจแสนสิริ หมื่นล้าน ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้เพียง 358 วันเท่านั้น

Latest


หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5:4 วินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีแต่งตั้ง "พิชิต ชื่นบาน" เป็นรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของทั้งสองสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) อวสาน นายกรัฐมนตรีหมื่นล้านในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แค่ในระยะเวลา 358 วันเท่านั้น

หากนับจากวันที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้มีมติเลือก “เศรษฐา” จากพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นนายกฯ ภายใต้รัฐบาลผสม 10 พรรค รวม 314 เสียงได้สำเร็จ เมื่อ 23 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ Thairath Money พาย้อนเรื่องราวของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของการเมืองไทย เจ้าของฉายายอดนักขาย-เจ้าวางแผน ฉากหลังแสนสิริหมื่นล้านสู่ผู้นำประเทศที่อยากเห็น “คนจน” หายไป อีกครั้ง …

ภูมิหลัง นักธุรกิจ สู่ นายกฯ คนที่ 30 ของ "เศรษฐา ทวีสิน"


เรียกว่า พลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่คนรุ่นหลานยังต้องเล่าขาน สำหรับการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของนักธุรกิจหมื่นล้าน “เศรษฐา ทวีสิน” จากพรรคเพื่อไทย ที่ฝ่าด่านทั้งศึกนอกสภา จากการแฉ ปลุกสังคมตรวจสอบคุณสมบัติ-ธรรมาภิบาล เมื่อครั้งเป็นแม่ทัพใหญ่แสนสิริ ขณะในสภาก็ต้องยอมรับว่าประเด็นนี้ทำให้ สส.ต่างพรรค และ สว.สายอนุรักษนิยมบางคนถึงกับส่ายหัวไม่ยอมรับ 

โดย 23 ส.ค. 2566 “เศรษฐา ทวีสิน” ได้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น นายกฯ คนที่ 30 ของไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลั่น! 4 ปี นับจากนี้จะเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงของประเทศไทย 

เศรษฐา ให้คำมั่นว่า “จะบำบัดความทุกข์ สร้างความสุข นำพาความเจริญให้กับประชาชนคนไทยและคนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ในเวทีนานาชาติอีกครั้ง” 

นับเป็น Speech ที่ปลุกพลังชวนฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็ชวนให้จับตามองว่า รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นักธุรกิจหมื่นล้าน คนนี้จะไปสุดแค่ไหน? 

ประวัติ เศรษฐา ผู้ปูทาง “แสนสิริ” หมื่นล้าน

ภายใต้ฉากใหญ่ของประเทศไทย ที่ถูกให้ความหวังว่าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะคำมั่นของเศรษฐา ที่มีเป้าหมายใหญ่ว่า อยากยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย เดินหน้าตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แก้ปัญหาให้กับประชาชน มุ่งมั่นทำทุกนโยบาย เพื่อให้คนไทยกลับมาอยู่ดีกินดี คนไทยจะต้อง “รวยก่อนแก่” คนจนจะต้องลดน้อยลง 

พร้อมข่าวคราว ขุดแคะ ประวัติเศรษฐา ตระกูลทวีสิน และครอบครัว-ภรรยา ติดท็อปหน้าโซเชียลมีเดีย จนพาให้อยากรู้จักผู้นำคนนี้มากยิ่งขึ้น กับภูมิหลังทางธุรกิจที่ไม่ธรรมดา และนับว่า “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนักธุรกิจไทย ที่มีกลยุทธ์แยบยลมากที่สุดคนหนึ่ง 

รวมไปถึงคำบอกเล่าจากพนักงานแสนสิริ ว่า เขาคือ นักวางแผน-เจ้าพ่อกลยุทธ์ ที่มีสไตล์การทำงานดุดันจริงจัง โดยวัดความสำเร็จได้จากผลสำเร็จของอาณาจักรแสนสิริหมื่นล้าน ที่วันนี้สิ่งที่เศรษฐาปูทางเอาไว้ก็ทำให้ แสนสิริ ยืนเหนือตารางอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยตำแหน่งผู้ครองกำไรทางธุรกิจมากที่สุด 3,203 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ส.ค. 2566) 

ท่ามกลาง เพื่อนร่วมวงการ อยู่ในภาวะ “ขาดทุน” นับสิบบริษัท จากยอดขายโครงการบ้าน-คอนโดมิเนียมที่ลดน้อยลง หดการลงทุน เพราะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ยิ่งทำให้อยากรู้ “นิด-เศรษฐา” มีแนวคิดและรูปแบบการทำงานอย่างไร จนทำให้แสนสิริผ่านร้อนหนาวมาได้หลายยุคหลายสมัย 

เศรษฐา นักธุรกิจใหญ่ ในคราบนักการตลาดตัวพ่อ 

“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกจับตามอง ยังถูกยกให้เป็นนักขายและนักการตลาดตัวยง ในมุมของคนที่ทำงานด้วยกัน ผ่านความคิดสร้างสรรค์ ปรับตามยุคทันสมัยอย่างรวดเร็ว และคิดถึง “ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก” มีจิตวิทยาสูง จนสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักเป็นอันดับต้นๆ ในวงการ ผลสะท้อนที่กลับมาคือ ชิ้นงานโฆษณาของบริษัท มักจะเป็นที่จับตาและพูดถึงในเรื่องความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์เสมอๆ 

ในมุมของนักสู้ นักวางกลยุทธ์ ก็ดูเหมือน “เศรษฐา” จะถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบในการกล้าตัดสินใจและแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเด็ดขาด ไม่นั่งรอปัญหา จนบริษัทฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจอันสาหัสสากรรจ์มาหลายระลอก เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย, ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, Bangkok shut down และวิกฤติการเมืองในประเทศอีกหลายครั้ง รวมถึงวิกฤติโควิดด้วย 

นี่เป็นเพียงภาพสะท้อนที่ถูกสื่อออกมาจากคนที่รู้จักคุ้นเคย ซึ่งไม่อาจยืนยันได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่พอจะสรุปความได้ว่า นายกฯ เศรษฐา เป็นที่เกรงขามจนทั้งคนภายในและคนภายนอกเคารพนับถือ และชื่นชมในการทำงาน 

ขณะในมุมของนักข่าวอสังหาริมทรัพย์ ที่พอจะได้สัมผัสคุ้นเคยและร่วมวงสัมภาษณ์อยู่บ้าง “เศรษฐา” ถูกยกเป็นแหล่งข่าวที่มีอิทธิพล ไม่ได้เข้าถึงง่าย และจะตอบคำถามที่อยากจะตอบเท่านั้น แต่ทุกๆ ประโยคที่ออกมาถูกนำมาเล่นเป็นข่าวใหญ่ได้ทุกครั้ง ด้วยวาทะที่มีสไตล์เฉียบคม มุมคิดที่กระแทกสังคม สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ และปลุกโซเชียลให้ลุกฮือทุกครั้ง จนได้รับฉายา CEO สาย Call Out

กลยุทธ์การตลาด กับแบรนด์แสนสิริที่ไม่เคยจม 

เมื่อย้อนไปในมุมนักการตลาดที่เฉียบคม อันจะเห็นได้ว่า เบื้องหลังความสำเร็จของแสนสิริ ด้วยรายได้หลักหลายหมื่นล้านในแต่ละปี และมีสินทรัพย์ในหลักแสนล้าน อีกทั้งปั้นแบรนด์ แตกช่องทางทางธุรกิจ จนมีข่าวติดหน้าสื่อตลอดเวลา ก็มาด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย ที่เป็นทั้งการสร้างสีสันและหนุนผลประโยชน์กลับมาทางอ้อมให้กับบริษัท เช่น 

  • “แสนสิริ” จับมือ “บาร์บีคิวพลาซ่า” นับเป็นการจับมือข้ามธุรกิจ รุกตลาดแนวใหม่ครั้งสำคัญ เกิดแฮชแท็ก #แสนสิริxGONกระจายความสุข 
  • ปฏิวัติการลงทุนในหุ้นกู้รูปแบบใหม่ ด้วยการเปิดตัว “หุ้นกู้แสนสิริ i-EASY” ใครจะไปคิดว่า ลงทุนหมื่นบาท ก็ซื้อหุ้นกู้อสังหาฯ ใหญ่ได้ 
  • การปลุกแบรนด์ร่วมของ “แสนสิริ” กับ “ขายหัวเราะ” ที่มองยังไงก็เจอกันยาก แต่แสนสิริขนแก๊งการ์ตูนมาเป็นลูกเล่นการขาย ในยามที่ตลาดอสังหาฯ กำลังซึมตัวในช่วงโควิดปีที่ผ่านมา


การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทำให้ชื่อของ แสนสิริ ไม่เคยหลุดจากตัวเลือกของคนอยากมีบ้าน มีคอนโดฯ ได้เลย อีกทั้งยังช่วยชูให้แบรนด์แสนสิริมีความทันสมัย และเข้ากับผู้คนได้ทุกวัย ขณะเดียวกันก็ล่อตานักลงทุนให้ติดกับดักหนีไปไหนไม่ได้ 

นับเป็นการตลาดแบบแยบยล ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากความเชี่ยวชาญของผู้เป็นแม่ทัพ จากภูมิหลังด้านการตลาดที่หาตัวจับยาก ย้อนไป เศรษฐาในยุคแรก ก่อนจะเป็นเจ้าพ่ออสังหาฯ เขาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดคนแรกของบริษัท Procter & Gamble ซึ่งในเวลานั้น P&G เพิ่งย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย

เมื่อทำงานไปได้ประมาณ 3 ปี ทาง P&G ได้เสนอให้เขาไปทำงานในต่างประเทศ โดยระบุว่าเป็นหนทางเดียวที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดในเส้นทางอาชีพ ด้านเศรษฐาที่เพิ่งกลับจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ไม่นาน ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตในเมืองไทยกับครอบครัว จึงตัดสินใจปฏิเสธโอกาสการทำงานดังกล่าว ก่อนที่จะไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับ คุณอภิชาติ จูตระกูล ผู้เป็นญาติ ในชื่อ บริษัท แสนสำราญ จำกัด (ชื่อเดิมของแสนสิริ) ในปี 2533  

4 คีย์ สไตล์การทำงานของนายกฯ คนใหม่

แสนสิริ ในการนำของเศรษฐา ถูกนำเสนอออกมาผ่าน “4 เสา” หรือกุญแจ 4 ดอก ประกอบด้วย 

  • ผู้ถือหุ้น 
  • พนักงาน 
  • ลูกค้า 
  • สังคม 

โดยช่วงหลัง ก่อนการผลัดตำแหน่งเข้าสู่วงการการเมืองไทยไม่นาน พบ “เศรษฐา” พยายามปลุกพันธกิจบริษัทสู่อสังหาฯ แคร์โลก แคร์สังคม มอบโอกาสคนยากไร้ มองไส้ในคล้ายปูทางสู่บันไดนักการเมือง ที่ต้องเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ซึ่งขณะนั้นก็ได้รับการตอบรับจากสังคมในแง่ดี และเมื่อบวกกับกระแสความเห็นเผ็ดร้อนในทวิตเตอร์ ที่เจ้าตัวยึดเป็นฐานที่มั่น ส่งต่อความคิดทางการเมืองและสังคม ยิ่งทำให้ “เศรษฐา” ดูเหมือนจะได้ใจคนรุ่นใหม่ไม่น้อย 

ไม่ทอดทิ้งใคร แคมเปญปูทางการเมือง การตลาดสำคัญ 

อีกแง่ภาพที่ออกมา ผ่านความเข้าอกเข้าใจคนทุกวัย ทุกระดับชั้นทางสังคม ฉายออร่า วิชั่นก้าวไกลระดับผู้นำ พร้อมๆ กับส่งต่อภาพออฟฟิศที่ทันสมัย สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการทำงาน พนักงานมีความเท่าเทียม ภายใน SIRI CAMPUS ออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง  

หรือปรากฏภาพ เศรษฐา ว่ามักจะนั่งทำงานใน Co-Working Space โดยไม่มีที่นั่งประจำ เพื่อให้พนักงานสามารถแวะเวียนเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาและหาทางออกร่วมกัน โดยเขาเชื่อว่า การพบเจอกันและเข้าถึงได้ง่าย จะทำให้พนักงานกระตือรือร้น และเมื่อต้องมีการตัดสินใจใดๆ จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ก็ทำให้ แสนสิริ ถูกยกเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้า และเป็นอันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานมากที่สุด

ในมิติทางสังคมนั้น ที่เห็นชัดเจนและจับต้องได้ ก็คงเป็นครั้งเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด ราคาผลไม้ตกต่ำ เศรษฐา เหมาลำไย 12 ตัน จากเกษตรกรชาวลำพูน รวมทั้ง อุดหนุนแตงโมกว่า 10 ตัน ที่กาฬสินธ์ุ มาแจกจ่ายพนักงานและลูกบ้าน คนงานและชุมชน ทำแคมเปญช่วยเหลือ SME และซื้อของจาก SME ในธุรกิจก่อสร้างมากขึ้น 

โดยประกาศว่า ขอเป็นฟันเฟืองทำโปรเจกต์ “ไม่ทอดทิ้งใคร” ผ่านโครงการ “No One Left Behind” ด้วยงบ 100 ล้าน เพื่อพาประเทศก้าวผ่านวิกฤติ และเขย่าให้รัฐ เร่งยกการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็น “วาระแห่งชาติ” 

ทั้งหมดนี้ และเป็นเพียงแค่บางส่วนที่ แสนสิริ พยายามขายตัวเองออกมา เมื่อครั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้ว่านักวางแผนคนนี้ เก็บทุกเม็ด โกยทุกมุม คิดใหญ่ ทำใหญ่ เห็นผล และเป็นบวกทั้งทางธุรกิจและสังคม แบบที่ยังไม่เคยเห็นอสังหาฯ รายไหนทำได้ ในเรื่องของการสื่อสารเป็นเอก 

เกมไวทางธุรกิจ สู่ ทางออกประเทศ? 

ส่วนในเกมธุรกิจ แสนสิริ โดยเศรษฐา ใช้หลัก Speed to Marker มองเร็ว-รุกไว เมื่อวิกฤติจ่อหน้าก็อาจต้องยอมเชือดเนื้อทิ้งกำไร เพื่อให้บริษัทอยู่รอด ดังจะเห็นได้ว่า ช่วงโควิด เมื่อกำลังซื้อไม่ขยับ แสนสิริ โละขายสินค้า หั่นกำไร แบบยอมเจ็บตัว แต่ก็ทำให้เบาตัว ไม่แบกต้นทุน ในครานั้น เศรษฐา ยอมเสียหน้า ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กระแสเงินสดกลับคืนมา จนทำให้ แสนสิริ กลับมาผงาดได้อีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เรียกว่าเป็นนักธุรกิจที่ กล้าได้-กล้าเสีย พอตัว 

เล่ามาถึงตอนท้าย ยิ่งทำให้ชวนติดตามว่า ในเชิงธุรกิจ กับ งานการเมือง ที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนั้น “นายกฯ คนใหม่ป้ายแดง” ที่ชื่อว่า เศรษฐา ทวีสิน จะนำพาประเทศไปทางไหน และเกมรุก เกมเร็ว การตลาดสุดล้ำ ที่เชี่ยวชาญในเกมธุรกิจ เมื่อมาอยู่ในเชิงการบริหารประเทศ ที่ต้องทำงานร่วมกับคนหลายพรรค หลายหน่วยงาน หลายสถาบัน จะปังหรือพัง 

ขณะเดียวกัน วาทะ “คนจนจะหมดไป เพราะเศรษฐกิจจะดีขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย” จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะลมหายใจทางธุรกิจและลมหายใจของประเทศ มันคนละทาง นี่คือฉากหลังเล่าขาน ก่อนถึงวันอวสาน "เศรษฐา ทวีสิน" พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันนี้ 14 ส.ค. 2567 

หมายเหตุ : บทความข้างต้น เคยถูกเผยแพร่ไว้ ณ วันที่ 24 ส.ค. 2566 

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์