ต้องยอมรับว่า “ประเทศไทย” มีหลายปัจจัย ดึงดูดการเข้ามาอยู่อาศัยของ “ชาวต่างชาติ” ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่ถูก, อาหาร-วัฒนธรรม, การเปิดกว้างทางเชื้อชาติ และ กฎหมายที่เปิดช่องให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ได้ (คอนโดมิเนียม 49% ต่อโครงการ) ขณะราคาอสังหาฯ ถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับเมืองอสังหาฯ ด้วยกัน อย่าง ฮ่องกง ลอนดอน และ สิงคโปร์
ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) ยังเผยว่า วิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึง ปัญหาความขัดแย้ง ส่งผลให้ชาวต่างชาติหลายประเทศ เริ่มมองหา “เซฟเฮาส์” หรือ บ้านหลังที่ 2 ซึ่งด้วยปัจจัยข้างต้น ทำให้ ประเทศไทย ถูกหมายตาเป็นอันดับต้นๆ ทั้งการย้ายเข้ามาอยู่อาศัย และ ลงทุน
เช่นเดียวกับ มุมมองของ CEO บริษัทอสังหาฯ ชั้นนำ ในกลุ่มโครงการระดับลักชัวรี่ และ อัลตราลักชัวรี่ “ไรมอนแลนด์” หรือ RML ที่ดำเนินธุรกิจมาแล้ว 39 ปี รวมมูลค่าโครงการที่พัฒนามากกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท รวม 5,600 ยูนิต หรือ มากกว่า 1 ล้านตารางเมตร
“กรณ์ ณรงค์เดช” เชื่อว่า ความฮอตฮิตของอสังหาฯ ไทย ในหมู่คนต่างชาติ ยังเป็นเทรนด์โดดเด่น จะเห็นได้อย่างต่อเนื่องนับหลังจากนี้ โดยเฉพาะ ตลาดระดับบน หรือที่อยู่อาศัยราคาแพง เนื่องจาก ชาวต่างชาติ มอง “ประเทศไทย” เปรียบเป็นบ้านหลังที่ 2 เนื่องจาก ไทยเป็น Best Location มียุทธศาสตร์ที่ตั้งที่ดี เดินทางสะดวก และความเป็นอยู่เรียบง่าย จึงเป็นที่หมายปองของ “เศรษฐี” ทั่วโลก เพียงแต่เทรนด์อยู่อาศัย มีบริบทเปลี่ยนไป เป็นโจทย์ที่ผู้พัฒนาฯ ต้องตามให้ทัน
ขณะเดียวกันตลาดอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่ ยังได้แรงซื้อสำคัญมาจาก กลุ่มคนไทยที่รวยขึ้น สะท้อนได้จากภาพ เมื่อครั้งโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก เรื่อยมาจนถึง สงครามรัสเซีย-ยูเครน มีปัญหาเศรษฐกิจ ตลาดที่อยู่อาศัยรวม อยู่ในภาวะ “ซบเซา” แต่ตลาดคอนโดฯ ลักชัวรี่ (ราคามากกว่า 2 แสนบาท/ตร.ม.) ยังมีการซื้อ-ขาย ได้คึกคัก
แม้ว่าที่ดินในการพัฒนาจะน้อยลง แต่ความต้องการในตลาดกลุ่มนี้ยังมีสูง จากข้อมูลของฝ่ายวิจัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าคอนโดฯ ลักชัวรี่ หรือ ซุปเปอร์ไพรม์ในไตรมาส 2 ปีนี้ มี Supply เปิดใหม่เพียงแค่ 1% เท่านั้น ในขณะที่มีอัตราดูดซับ อยู่ที่ 87%
สำหรับทำเลที่มีศักยภาพในโซน CBD มีอยู่ 4 ทำเลด้วยกัน ได้แก่
สำหรับทำเล สีลม สาทร นั้น อสังหาฯ ระดับบน กำลังเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติอย่างมาก มีดีมานด์เยอะ แต่ซัพพลายน้อย สะท้อนจากความสำเร็จของบริษัท ที่เข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลนี้มาแล้ว 2 โครงการ คือ ‘เดอะ ลอฟท์ สีลม’ และ ‘เดอะ ดิโพลแมท สาทร’ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปิดการขายทั้งหมดแล้ว ในขณะที่ราคาขายรีเซลก็เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ส่วนโครงการที่ 3 ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ 40 ชั้น บริเวณซอย สาทร 12 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง RML และโตเกียว ทาเทโมโนะ พัฒนาแล้วเสร็จแล้ว ด้วยมูลค่า 4,400 ล้านบาท (ราคาขายเฉลี่ย 2.8 แสนบาทต่อตารางเมตร) ขณะนี้ ก็มียอดขายทะลุ 97% แล้ว โดยอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดหวังไว้
โดยลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อเทตต์ สาทร ทเวลฟ์ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อเมริกัน สิงคโปร์ ไต้หวัน และออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อโครงการเพื่ออยู่เอง 60% และซื้อไว้เพื่อลงทุน 40% โดยราคาขายออกในยูนิตที่แพงที่สุดนั้น อยู่ที่ 110 ล้านบาท ของลูกค้าชาวจีน
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 ผู้บริหารไรมอนแลนด์ เผยว่า เตรียมแผนพัฒนาโครงการไว้ทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยยังคงเจาะที่ การพัฒนาโครงการคอนโดฯ หรู ซึ่งเป็นความถนัดของบริษัท เพื่อรับโอกาสความต้องการของตลาด จำนวน 2 โครงการ ขณะเดียวกัน มีเป้าหมายเพิ่มพอร์ตโปรดักส์ มาสู่ โครงการบ้านระดับอัตราลักชัวรี อีก 2 โครงการ
โดยนอกจาก จะเดินหน้าพัฒนาโครงการ ร่วมกับ Rosewood Hotels & Resorts เป็นเรสซิเดนซ์ (พูลวิลล่า) ระดับ Ultra-Luxury สุดหรูแห่งแรก ในจังหวัดภูเก็ต ที่วางราคาขายไว้ เริ่มหลังละ 600 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาทแล้ว บริษัทยังเตรียมพัฒนาที่ดิน ย่านสุขุมวิท เป็นโครงการบ้านหรูอีก 1 โครงการ จำนวน 5 ยูนิต ด้วยราคาเริ่มต้นที่หลังละ 300 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาและสรุปรายละเอียดทั้งหมด หลังมั่นใจฐานลูกค้า และเชื่อมั่นตลาด ขณะเดียวกัน จะเป็นส่วนสนับสนุนในฝั่งรายได้ได้ดี ในช่วงที่โครงการคอนโดฯ ต่างๆ อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกด้วย