วันนี้ครบรอบ 7 ปี วันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ วันที่ 13 ตุลาคมทุกปี เป็น “วันนวมินทรมหาราช” แม้พระองค์จะทรงจากพสกนิกรไป 7 ปีแล้ว แต่ปวงพสกนิกรก็ยังคิดถึงพระองค์อยู่ไม่คลาย มีเรื่องทุกข์ร้อนทีไรก็คิดถึงพระองค์ทุกครั้งไป ท่านเคยสอนเคยเตือนไว้แล้ว โดยเฉพาะ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่จะทำให้คนไทยทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน มีความสุขอย่างพอเพียง ไม่ต้องมีสารพัดทุกข์ดังเช่นปัจจุบัน
นโยบาย แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไปของ รัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาลถึง 560,000 ล้านบาท วันนี้สร้างความทุกข์ไปทุกภาคส่วนที่ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะ “ข้าราชการประจำ” ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกูรูนักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยคน แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ฟัง ทั้งที่ยังไม่มีเงิน กระบวนการแจกเงินรับเงินก็ยังไม่ชัดเจน
การแจกเงินมหาศาล 560,000 ล้านบาท ให้คนไทย 56 ล้านคน เหมือนเอาเงิน 560,000 ล้านบาทไปหว่านโปรย หวังให้คนเอา เงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ เงินจำนวนมหาศาล 560,000 ล้านบาทนี้ คิดเป็น 16% ของงบรายจ่ายประจำปี 2567 เลยทีเดียว แต่เป็นเงินที่ไม่ได้อยู่ในงบประมาณ ต้องไปหาจากที่อื่นมาใช้ก่อน แปลความง่ายๆก็คือ “ต้องไปกู้มาใช้ก่อน” ถ้าบวกเงินกู้ขาดดุลในปีงบประมาณ 2567 อีก 693,000 ล้านบาท จะทำให้รัฐบาลมีหนี้ในปีงบประมาณ 2567 สูงถึง 1.253 ล้านล้านบาท คิดเป็น 36% ของงบประมาณปี 2567 ที่มีวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท หรือกว่า 1 ใน 3 ของงบประมาณ ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็คงอยู่ไม่ได้แล้ว
การพัฒนาประเทศให้เจริญนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงคิด “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาสอนพวกเรานานถึง 49 ปีแล้วว่า
“...การพัฒนาประเทศ จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน...และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (18 ก.ค.2517)
ทุกรัฐบาลที่ผ่านมามักจะแถลงว่า จะนำ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปใช้เป็นนโยบายในการบริหารประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้ใช้เลย
4 ธันวาคม 2534 ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสว่า “...เราไม่เป็นประเทศรํ่ารวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากเป็นประเทศก้าวหน้ามาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็น ประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”
ยิ่งอ่านพระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ยิ่งเห็นภาพชัดเจน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากก็คือ สหรัฐฯ มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกเคยก้าวหน้ามาก วันนี้เริ่มถดถอย ประเทศเต็มไปด้วยคนจน คนไร้บ้าน มีการปล้นสะดม ห้างยักษ์ยังต้องปิดหนีโจร มันเกิดขึ้นแล้วในวันนี้
“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ ก็พอแค่นี้ คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่า ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...”
ก่อนที่ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน จะตัดสินใจ แจกเงิน 560,000 ล้านบาท สร้างหนี้ใหม่ให้ชาติ โปรดอ่าน “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้เข้าใจ การไปให้ถึงเป้าหมาย ไปได้หลายทางครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”