นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำเสนอผ่านกระทรวงมหาดไทย โดยสรุปว่า กทม. เห็นควรที่จะดำเนินการโครงการ ตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน มีความรอบคอบ มีการพิจารณาข้อมูลรอบด้านและตรวจสอบได้
ขณะเดียวกัน กทม.ระบุว่าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชนและทำให้การบริการสาธารณะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน จึงเห็นควรสนับสนุนงบจากรัฐบาล สำหรับโครงสร้างพื้นฐานและงานติดตั้งระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ของโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ในกำกับดูแลของ กทม. เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นที่รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ
ดังนั้น กทม.เห็นควรนำเสนอ ครม.เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนงบสำหรับการดำเนินโครงการช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งสนับสนุนงบสำหรับค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยในอนาคตทั้งหมด โดยปัจจุบัน กทม. มีภาระหนี้จากงานโครงสร้างพื้นฐานและงานซื้อขาย พร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ ทั้งสิ้น 78,830.86 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มี.ค.) อาทิ ค่างานโครงสร้างพื้นฐานและค่าจัดกรรมสิทธิ์ 55,034.70 ล้านบาท ฯลฯ และ
เนื่องจาก พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 มีผล บังคับใช้อยู่ การขอรับการสนับสนุนงบจึงไม่สามารถเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาได้ เพราะจะเป็นผลผูกพันกับ ครม.ชุดต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รายงาน ครม.ว่า การนำเสนอเรื่องนี้เข้า ครม.รับทราบเพื่อให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ซึ่งรับภาระหนี้แทนรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาในการขอกู้เงินที่ต้องเจอดอกเบี้ยแพง ออกหุ้นกู้ลำบาก ส่วนข้อเสนอการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เพราะรัฐทำเองก็ขาดทุน การแก้ไขเรื่องหนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลหน้าต้องตัดสินใจ.