นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 ส.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังจะได้นำผลการวิเคราะห์และประเมินเศรษฐกิจ รายงานให้ที่ประชุมได้รับทราบ ว่ารัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่านโครงการคนละครึ่งเฟส 5 การเติมเงินเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ที่จะมีผลในวันที่ 1 ก.ย.-31 ต.ค.นี้ ส่วนมาตรการอื่นๆ คือประเด็นค่าไฟฟ้าที่อาจมีการปรับลด หรือไม่ปรับขึ้นค่าไฟฟ้า
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการมีข้อสรุปที่จะนำเสนอคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ ประกอบด้วยมาตรการระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ที่มีหลักเกณฑ์ชัดเจนว่าวิกฤติระดับใดรัฐบาลจะออกมาตรการใดมาช่วยเหลือ ส่วนมาตรการที่จะนำมาช่วยเหลือ นับจากนี้ไปมีแนวโน้มที่จะเป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้การช่วยเหลือตรงจุดที่สุด
“การออกมาตรการช่วยเหลือมาตลอด 2 ปี ทำให้รัฐบาล มีข้อมูลครบถ้วนว่ากลุ่มใดได้รับผลกระทบได้รับความเดือดร้อนอย่างไร หากช่วยเหลือจะช่วยเหลือลักษณะใด ให้ตรงจุด ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะการฟื้นตัว การช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม จะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ”
ขณะที่นายอาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากประเทศผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยได้ช่วยเหลือดูแลประชาชนมาตลอด แม้บางส่วนมีปัญหา จึงต้องนำส่วนนี้มาเป็นบทเรียน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้บริหารความเสี่ยงให้ดี
ทั้งนี้ในช่วง 2 ปี ประชาชนเริ่มตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น และธุรกิจประกันเป็นส่วนหนึ่งของภาคการเงิน ที่มีส่วนช่วยด้านการออมของประชาชน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งในชีวิต และทรัพย์สิน จึงอยากฝากเรื่องให้ไปพิจารณา อาทิ เรื่องความมั่นคงของระบบประกันที่เป็นกุญแจสำคัญคือ การบริหารความเสี่ยงเห็นได้จาก 2 ปีที่ผ่านมาการออกผลิตภัณฑ์ใดต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกระทบความเชื่อมั่น.