วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่อง สงครามรัสเซียยูเครน ต่ออีกวันนะครับ สงครามได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งคนไทยด้วย ช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีที่ผมเขียนคอลัมน์นี้ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปอีกบาร์เรลละ 5 เหรียญกว่า เป็น 115 เหรียญต่อบาร์เรล และ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษ ก็พุ่งขึ้นไปอีกกว่า 5 เหรียญต่อบาร์เรล เป็น 118 เหรียญต่อบาร์เรล โอกาสจะขึ้นไปถึง 120 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นไปได้สูง ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีกของไทยแน่นอนไม่มีใครรู้ ราคาน้ำมันดิบจะขึ้นไปที่บาร์เรลละเท่าไหร่ ถ้าสงครามรัสเซียยูเครนยังไม่จบ รวมทั้งการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐฯ ยุโรป ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินทั่วโลก
คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบที่ 115–120 เหรียญต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ราคาขายปลีกในไทยเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 5.0-7.50 บาท เมื่อเทียบกับปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ถ้าราคาน้ำมันดิบยืนในราคานี้หรือขึ้นไปอีก ผมว่าคนไทยอาจได้ใช้เบนซินลิตรละ 50 บาท แน่นอน ส่วน น้ำมันดีเซลรัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ลิตรละ 30 บาท ยังไม่รู้จะตรึงได้อีกนานแค่ไหน เวลานี้ กองทุนน้ำมันถังแตกติดลบไปเกือบ 22,000 ล้านบาทแล้ว กำลังจะกู้อีก 20,000 ล้านบาท มาโปะตัวแดงกองทุน แต่คงไม่พอแน่นอน
เช้าวันพฤหัสบดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียก คณะที่ปรึกษานายกฯชุดใหญ่ ไปหารือเรื่องราคาน้ำมันดิบโลกที่พุ่งสูงขึ้น แต่ผลออกมาไม่มีอะไรในกอไผ่ โฆษกสำนักนายกฯ แถลงว่า นายกฯสั่งให้ดำเนินการด่วน 3 แนวทาง 1.หาทางลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น บรรเทาราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า 2.บรรเทาภาระหนี้สิน 3.ลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มรายได้ประชาชน เป็นเรื่องเดิมๆที่เป็นปัญหาหมักหมม ไม่มีอะไรใหม่ที่รับกับสถานการณ์
วิกฤติต่างๆจากสงครามรัสเซียยูเครน เพิ่มขึ้นเร็วมาก ล่าสุด ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัทจัดอันดับยักษ์ใหญ่ของโลก ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือ ของรัสเซียลงรวดเดียว 6 ชั้น จากระดับ BBB สู่ระดับ B ซึ่งเป็นระดับ “ขยะ” ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย จากการที่รัสเซียถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร ส่งผลให้เศรษฐกิจรัสเซียมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้พันธบัตรและตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลรัสเซียขาดความน่าเชื่อถือ
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ให้เหตุผลว่า มาตรการคว่ำบาตรส่งผลให้สถานะ การเงินภาครัฐและเอกชนรัสเซียอ่อนแอลงมาก ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
สัปดาห์ที่แล้ว สแตนดาร์ด แอนด์ พัว S&P บริษัทจัดอันดับยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ก็เพิ่งลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลงสู่ระดับ B (ขยะ) และ ลดอันดับความน่าเชื่อถือของยูเครนจากระดับ B (ขยะ) สู่ระดับ B– (ยิ่งกว่าขยะ) และอาจปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของยูเครนลงไปอีกในอนาคต
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อการค้าการส่งออกของไทยโดยตรง แม้ไทยจะมีการค้ากับรัสเซียและยูเครนน้อยมากเพียง 0.4% และ 0.05% ของยอดส่งออกก็ตาม ประเด็นที่ ผู้ส่งออก และ รัฐบาลไทย ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ ค่าขนส่งทางเรือที่จะเพิ่มสูงขึ้นทันที เพราะบริษัทเรืองดเดินเรือเส้นทางรัสเซียยูเครน บริษัทประกันภัยก็ไม่รับประกันภัยการขนส่งสินค้าในเส้นทางดังกล่าว ไทยอาจต้องใช้เส้นทางบกหรือระบบรางผ่านประเทศอื่น เพื่อส่งสินค้าเข้ารัสเซียและยูเครน รวมทั้ง ภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ไปจนถึง ผู้ซื้อสินค้าอาจเบี้ยวหนี้เพราะถูกแซงก์ชัน ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่มากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหาทางแก้ปัญหาโดยด่วนที่สุด เพราะ การส่งออก
เป็นเส้นเลือดใหญ่เศรษฐกิจไทยราว 70% ของจีดีพี ไม่ใช่แก้ปัญหาแค่ ราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้าคนจน เท่านั้น.
“ลม เปลี่ยนทิศ”