ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่กรมสรรพสามิตได้ประกาศปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาที่กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้า ให้เสียภาษีทั้งปริมาณและมูลค่า โดยให้บุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 72 บาท จะเสียภาษีมูลค่าในอัตรา 25% และปริมาณ 1.25 บาทต่อมวน ส่วนบุหรี่ราคาแนะนำซองละเกินกว่า 72 บาทขึ้นไป จะเสียภาษีมูลค่าในอัตรา 42% และตามปริมาณ 1.25 บาทต่อมวนนั้น
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีผู้ผลิตและนำเข้าบุหรี่รายใด มายื่นเอกสารต้นทุน เพื่อให้กรมสรรพสามิตคำนวณการเสียภาษีตามอัตราใหม่แต่อย่างใด ดังนั้น ราคาขายปลีกในท้องตลาดยังคงเป็นราคาเดิมไปจนกว่าจะมีการยื่นเสียภาษีอัตราใหม่ ขณะที่ร้านค้าบุหรี่หลายแหล่ง บุหรี่เริ่มขาดตลาด เนื่องจากผู้ผลิตและผู้นำเข้า แจ้งร้านค้าว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการคำนวณราคาบุหรี่ตามโครงสร้างภาษีใหม่ ทำให้ไม่สามารถจัดส่งบุหรี่ให้ได้ โดยเฉพาะการยาสูบแห่งประเทศไทย ของดส่งบุหรี่ให้ยี่ปั๊วเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการประกาศราคาขายปลีกแนะนำใหม่
ขณะที่บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายบุหรี่จากต่างประเทศ ทำหนังสือแจ้งคู่ค้าว่าบริษัทกำลังพิจารณาโครงสร้างราคาและราคาขายปลีกใหม่
นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้ายาสูบไทย กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดบุหรี่กำลังปั่นป่วน เนื่องจากบุหรี่ขาดตลาดมา 1-2 สัปดาห์แล้ว เนื่องจากผู้นำเข้าและผู้ผลิตได้แจ้งหยุดส่งบุหรี่ให้ ดังนั้น หากร้านค้าใดที่ต้องการจำหน่ายบุหรี่ ก็ต้องไปหาซื้อจากแหล่งอื่นก่อน ซึ่งราคาอาจแพงกว่าปกติ เช่น บุหรี่ซองละ 60 บาท ก็ต้องซื้อเป็นคอตตอน 630-650 บาท และเมื่อนำมาขายปลีกในราคาซองละ 67-70 บาท ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าผิดธรรมชาติ เพราะปกติทุกครั้งที่มีการขึ้นภาษี จะไม่มีปัญหาบุหรี่ขาดตลาด แต่จะมีบุหรี่ราคาใหม่ออกมาขายได้ทันที.