“เมเจอร์” เปิดวิสัยทัศน์ Major 5.0 ครบรอบ 25 ปีพร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มการให้บริการ ตั้งเป้ามีโรงหนัง 1,200 โรง ในปี 2025 ครอบคลุม 77 จังหวัด กับการทำรายได้จากบัตรเข้าชมถึง 12,000 ล้านบาท พร้อมปรับเปลี่ยนรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัลตลอดเวลา ระบุความนิยมของธุรกิจสตรีมมิงคอนเทนต์ ไม่กระทบธุรกิจเพราะคอนเทนต์ต่างกันและเป็นพันธมิตรคู่ค้ากันมากกว่าการเป็นคู่แข่ง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าธุรกิจสตรีมมิง คอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยมนำโดย Netflix ธุรกิจโรงภาพยนตร์โดยเฉพาะเมเจอร์ ไม่ได้รับผลกระทบแม้จะเป็นผู้บริโภคกลุ่มเดียวกันก็ตาม เนื่องจากคอนเทนต์หรือภาพยนตร์ยังมีความแตกต่างเรื่องเวลาการฉายอยู่เนื่องจากเกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์โรงภาพยนตร์จะผูกขาดการฉายก่อน และธุรกิจสตริมมิ่งจะได้รับลิขสิทธิ์การฉายช้ากว่า 1 ปี
ดังนั้น ตนจึงมองว่าไม่ใช่คู่แข่งขันกัน อีกทั้งธุรกิจดังกล่าวจะให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นซีรีส์มากกว่า ในขณะที่ภาพยนตร์จะทำการซื้อจากค่ายหนัง ซึ่งทางเมเจอร์เองก็ขายหนังไทยให้ทาง Netflix ด้วยจึงเป็นพันธมิตรมากกว่าการเป็นคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีมาเข้าสู่โลกดิจิทัล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ทางเมเจอร์จะต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น บริษัทสตาร์ตอัพที่เกิดขึ้นมา ทางเมเจอร์ก็เรียกมาคุยตลอดว่าทำอะไร ทางเมเจอร์ก็ใช้บริการคลาวด์จากหัวเว่ยและอเมซอน อยากรู้ว่าทั้งสองค่ายมีความแตกต่างกันอย่างไร หรือกรณีแกร็บหรือไลน์และรายอื่นๆ ก็ได้มีการคุยกันตลอด มีอะไรใหม่ทางเมเจอร์จะทำหมด
“โรงภาพยนตร์ในเมืองไทยถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก มีการลงทุนพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นตลอดเวลาจนต่างชาติต้องขอเข้ามาดูว่าทำไมธุรกิจโรงภาพยนตร์ในไทยมีผู้ชมมาก ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์หรือคอนเทนต์ต้องดีด้วย โดยธุรกิจโรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ในปีนี้คาดว่าเติบโต 10-15% เพราะในช่วงปลายปีจะมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่องรอเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ การ์ตูนและภาพยนตร์ไทย”
ขณะเดียวกัน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จะครบรอบ 25 ปี ในปีหน้าได้ตั้งวิสัยทัศน์ Major 5.0 เน้นนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าเติมเต็มการให้บริการ ตั้งเป้าขยายโรงภาพยนตร์ 1,200 โรง มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2025 และทำรายได้จากบัตรโรงภาพยนตร์ได้ถึง 12,000 ล้านบาท โดยใน 9 เดือนแรกของปีนี้ทำรายได้จากบัตรชมภาพยนตร์จำนวน 4,392 ล้านบาท
“ในปีหน้าจะมีแผนการลงทุนขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 30 สาขา มีโรงภาพยนตร์อยู่ใน 60 จังหวัด เข้าถึงในระดับอำเภอและตำบล โดยมีแผนจะขยายสาขาไปอีก 17 จังหวัด ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 169 สาขา 810 โรง แยกเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 46 สาขา ต่างจังหวัด 115 สาขา และในต่างประเทศ 8 สาขา
พร้อมกับนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำสมัยเข้ามาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครเป็นแห่งแรกเสมอ ตั้งแต่ โรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ จอยักษ์ 3 มิติ, 4DX, Screen X, LED Cinema Screen, Esports, Kids Cinema, ระบบฉายแบบดิจิทัล, ระบบฉายแบบเลเซอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Movie Experience การชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกและอรรถรสที่แตกต่างจากการชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางอื่นๆโดยสิ้นเชิง ทั้งจาก ภาพ เสียง และบรรยากาศเสมือนเข้าไปอยู่ในหนัง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแท้จริง
สำหรับ Major 5.0 ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติมเต็มในการให้บริการมากขึ้นเป็นโรงภาพยนตร์รายแรกของโลกที่ขับเคลื่อนธุรกิจที่มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการ นับตั้งแต่ขายตั๋วผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E Ticket แล้วพัฒนาต่อเป็น Seamless Ticket โดยมอบประสบการณ์การซื้อผ่านแอปพลิเคชันได้ตั๋ว นำมาสแกนที่ตู้แล้วเดินเข้าโรงภาพยนตร์ได้ทันที การพัฒนาระบบ AI&ML เป็นระบบ Movie Recommendation Engine เพื่อส่งมอบโปรโมชันที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้นตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่แตกต่างกัน ตลอดจนการเปลี่ยนเป็น Cashless ด้วยการให้บริการบัตรเงินสด M Cash และขยายฐานการขายตั๋วผ่านพาร์ตเนอร์ ทุกธนาคาร และระบบเพย์เมนต์ต่างๆ
สำหรับปีหน้าจะนำเอาเทคโนโลยีล่าสุดของการฉายภาพยนตร์ด้วยระบบ GIANT LASER SCREEN หรือ GLS ด้วยระบบการฉายภาพแบบ Laser Projector รองรับความคมชัดของภาพสูงสุดถึง 4K หรือ 8 ล้านพิกเซล ภาพที่สวยงามมากขึ้นจะถูกฉายลงบนจอภาพขนาดใหญ่พิเศษที่สูงเทียบเท่าตึก 3 ชั้น.