"ศักดิ์สยาม" ส่งแนวคิดให้ขนส่งช่วยศึกษาติด GPS รถยนต์ส่วนบุคคล และจักรยานยนต์ เก็บรายเดือนอีก 300 คาดแก้ปัญหารถหาย ทำผิดกฎหมายขนส่ง
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 62 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายแก่กรมการขนส่งทางบก หรือ ขบ. ว่าได้มอบให้ขบ.ไปศึกษาการกำหนดให้รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ หรือ GPS เพิ่มเติม นอกเหนือไปจากรถสาธารณะ 4 ประเภทที่ถูกบังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ได้แก่ รับจ้างรถบรรทุก รถตู้โดยสาร และรถโดยสารขนาดใหญ่
ทั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุได้ในระดับหนึ่ง เพราะสามารถควบคุมความเร็วรถและตรวจสอบข้อมูลการขับขี่ได้ โดยเชื่อว่าการตั้งด่านสกัดจับนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น โดยจะให้ขบ. ทำการศึกษาราคาอุปกรณ์จีพีเอส รวมถึงค่าบริการรายเดือนนั้นจะต้องไม่แพง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มจากรถใหม่ก่อน โดยในเดือนนี้ปลัดกระทรวงคมนาคม และอธิบดีกรมการขนส่งไปหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดูราคา GPS เพราะขณะนี้ราคาอุปกรณ์จีพีเอส ราคาปรับลดลงจากหลักหมื่นเหลือหลักพัน ซึ่งค่าบริการจีพีเอสรายเดือนจะอยู่ที่ 500-700 บาท ปัจจุบันอุปกรณ์ก็ลดลงเหลือ 3,000 และค่าบริการรายเดือนเหลือแค่ 300 บาท ส่วนรถเก่าก็จะมีมาตรการค่อยๆ บังคับใช้ต่อไป
"หากเราติดจีพีเอสกับรถได้ครบทุกประเภท เราจะกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนนได้หมด ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่ทำแบบนี้ ไม่มีอะไรเป็นของฟรีในโลก แต่เรากำลังชั่งน้ำหนักว่า สิ่งที่จะนำมาใช้จะเกิดประโยชน์อย่างไร ทั้งนี้ขอหารือกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนในเดือนนี้ หากจะต้องออกเป็นกฎกระทรวงบังคับใช้คงต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน หรือถ้าเป็นกฎหมายต้องใช้เวลาเป็นปี แต่เราต้องกล้านับ 1 คาดว่าภายใน 1 ปี จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องนี้"
เมื่อถามว่า การจะบังคับให้รถส่วนบุคคลติดตั้งจีพีเอสติดตามการเดินทางของรถเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ต้องไปดูกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลฉบับอื่นๆ ประกอบด้วย แต่ต้องดูว่าผลที่ได้รับจากการติดจีพีเอสคืออะไร ซึ่งจะเห็นว่าประโยชน์มีมาก อย่างน้อยการก่ออาชญากรรมจะลดลง เช่น การขโมยรถ การกำกับความเร็วรถจากจีพีเอสก็ช่วยรถลดปัญหาอุบัติเหตุได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจะต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่บางเรื่องยอมรับว่าอาจจะกระทบสิทธิ์ประชาชน แต่ถ้าไม่เกิดความเสียหายมากนัก และเกิดประโยชน์ลดอุบัติเหตุและลดความเสียหายได้ บางครั้งก็คงต้องยอม
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ได้มอบให้ ขบ.ไปศึกษาระเบียบกฎหมายเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบรถที่ทำผิดกฎหมายด้วย โดยหากสามารถแจ้งเบาะแสจนนำตัวผู้กระทำความผิดกฎจราจรมาลงโทษตามกฎหมายจะได้รับแบ่งสินบนนำจับให้ด้วย เช่น การถ่ายภาพ รูป หรือเหตุการณ์ เชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยลดอุบัติเหตุ และจะทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น
ปัจจุบัน ขบ.มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะต้องให้ไปพิจารณารายละเอียดว่า จะจัดแบ่งค่าสินบนนำจับให้ประชาชนในสัดส่วนเท่าไร คาดว่าภายใน 1 เดือนจะบังคับใช้มาตรการสินบนนำจับได้ นอกจากนี้ ยังกำชับให้ ขบ.บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นกับรถทุกประเภททั้งส่วนบุคคลและสาธารณะ เพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำซากโดยจะนำมาตรการตัดแต้มคน และรถมาบังคับใช้ ทั้งนี้ ในส่วนของคนจะเข้มงวดเรื่องการออกใบขับขี่ให้มากขึ้น
โดยหากพบว่าในเวลาต่อมาผู้ขับขี่มีการกระทำผิดตามกฎหมายจะถูกตัดคะแนนจากเดิมได้เต็ม 100 คะแนน และหากถูกตัดจน 100 คะแนนที่มี ขบ.จะยึดคืนใบขับขี่ทันที ส่วนมาตรการเกี่ยวกับรถจะมีการตัดคะแนนรถเช่นกัน โดยรถใหม่ที่ผ่านการตรวจสภาพจะได้ 100 คะแนนเต็ม
หากครั้งต่อมาตรวจสภาพไม่ผ่านจะถูกตัดคะแนน และหากถูกตัดจนครบ 100 คะแนนจะถูกพักใช้รถทันที ซึ่งมาตรการตัดแต้มครั้งนี้จะเป็นการดำเนินการภายใต้ภายใน พ.ร.บ.พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 เป็นคนละส่วนกันกับมาตรการตัดแต้มของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษา 2 เดือน
นอกจากนี้ ได้มอบให้ ขบ.ไปศึกษาการกำหนดให้รถบรรทุกต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบน้ำหนักบรรทุกที่ติดตั้งที่ตัวรถด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาบรรทุกเกินพิกัดที่กฎหมายกำหนด เพราะการนำตาชั่งไปไล่ตรวจไม่สามารถจับกุมได้หมด
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกถึงมาตรการแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำหรือแกร็บว่า ได้เร่งรัดให้ ขบ. มีการต่อยอดนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับบริการรถสาธารณะ โดยขณะนี้ ขบ .อยู่ระหว่างร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ การนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้ในการรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน พ.ศ. ...
รวมถึงร่างกฎกระทรวงกำหนดการขอรับใบอนุญาต และการต่ออายุใบประกอบการรถยนต์ส่วนบุคคลรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน พ.ศ. ... ตอนนี้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วคาดว่าจะเสนอให้รมว.คมนาคมลงนามและประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนมี.ค.63
ส่วนผลการดำเนินงานมาตรการเช็กพอยต์ ขณะนี้พบปัญหาเรื่องบุคลากร งบประมาณ และอุปกรณ์ เช่นเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ มีไม่เพียงพอ ซึ่งก็ขอให้แต่ละจังหวัดทำเรื่องขอรับการสนับสนุนมายังส่วนกลาง ส่วนผลการดำเนินงานพบว่า ทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุปรับลดลง จาก 1% กว่า เหลือ 0.4%