ธุรกิจใดก็ตาม... หากถือกำเนิดเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ทำอย่างสุดกำลังความสามารถ ก็ย่อมประสบพบความสำเร็จได้ไม่ยาก
แต่กว่าจะก้าวสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระหว่างทางที่ธุรกิจก้าวผ่าน ก็ต้องมีอุปสรรคเข้ามาให้ต้องแก้ไข รับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่พัฒนาทันสมัยขึ้น
Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ “คุณเอส” (พิสุทธิ์ ฆังคะมะโน) คนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่นำความรู้ที่เรียนมาพัฒนาต่อยอดมาใช้กับธุรกิจทางบ้าน ยอมทิ้งเงินเดือนเดือนละ 100,000 กว่าบาท มาสานต่อธุรกิจฟาร์มไก่ไข่ ภายใต้ชื่อ “พรรัตภูมิ ฟาร์ม” ที่ปัจจุบันพัฒนาต่อยอดเป็น “ฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ”
คุณเอส เล่าว่า ฟาร์มไก่ไข่เป็นธุรกิจที่คุณพ่อ-คุณแม่ สร้างกันขึ้นมาเอง โดยทำมาแล้ว 45 ปี ตั้งแต่ปี 2517 ซึ่งตอนนั้นมีการสนับสนุนจากภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนสร้างรายได้ โดยที่บ้านเลือกเลี้ยงไก่ไข่ เริ่มเลี้ยงที่จำนวน 300 ตัว โดยที่น่าภาคภูมิใจคือท่านทั้งคู่ ประกอบอาชีพนี้สามารถเลี้ยงดูลูกๆทั้ง 5 คน และส่งเสียให้เรียนจนจบการศึกษาปริญญาตรี
“ด้วยความที่เกิดและจำความได้ ก็คลุกเคล้าอยู่กับฟาร์มไก่ไข่มาแต่เด็ก มีความผูกพัน และคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะกลับมาพัฒนาธุรกิจของพ่อแม่ให้งอกงามออกดอกผล สามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้”
แต่ในความเป็นจริงฝันนั้นก็ไม่ง่ายดั่งที่คิด เนื่องจากติดปัญหาทางความคิดของคน 2 เจเนอเรชัน คือรุ่นคุณพ่อ-แม่ ที่อายุ 70 กว่าปี และรุ่นผมที่อายุ 38 ปี โดยคุณพ่อ-แม่ จะมองว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอะไรที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะก็พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในมุมของผมก็คิดว่า สามารถใส่เทคโนโลยีเข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงไก่ไข่ ให้ได้ผลิตภัณฑ์ไข่สดที่ดี
คุณเอส เล่าว่า ด้วยความที่ตนเองเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านไอที ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็ได้เห็นโอกาสที่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาต่อยอดพัฒนาฟาร์มที่บ้านได้ ซึ่งช่วงแรกก็ถูกปฏิเสธ โดยพ่อแม่ให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงสูง อาจขาดทุนได้ รวมถึงต้องมีการลงทุนที่เยอะ
หลังจากที่เรียนจบก็อยากกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่คุณแม่บอกไม่เป็นไรท่านยังทำได้ ซึ่งผมก็ไปหางานทำจนได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกรบริษัทเอกชนเงิน 100,000 กว่าบาท ซึ่งก็ทำอยู่ประมาณ 10 ปีได้
กระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อคุณแม่โทร.มาคุยและท่านร้องไห้ เล่าถึงธุรกิจฟาร์มของทางบ้าน ที่อยู่ในช่วงถดถอย ถูกกดราคา ทำให้ยอดขายตกลง และท่านก็เอ่ยปากว่าเราจะมารับช่วงต่อหรือไม่ อยากให้ฟาร์มอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่รอช้าตัดสินใจยื่นใบลาออก เพื่อกลับไปรับไม้ต่อฟาร์มไก่ไข่
คุณเอส เล่าว่า หลังจากได้รับโอกาสจากทางบ้าน ตนก็เริ่มพัฒนาปรับปรุงฟาร์มให้เป็น “ฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ” เริ่มที่โรงเรือนเลี้ยงไก่ โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเรื่องของระบบเซ็นเซอร์กว่า 30 ตัว ติดตั้งที่โรงเรือน ทำระบบแบบเลี้ยงปิด ติดพัดลมระบายอากาศ โดยสามารถเช็กได้ว่าอุณหภูมิในโรงเรือน ตรวจจับคุณภาพอากาศ ตรวจวัดแสงไฟที่ไก่ควรได้รับ
รวมถึงเช็กปริมาณอาหารและน้ำ ว่าไก่กินครบตามปริมาณที่กำหนดไว้หรือไม่ ตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์พัดลมระบายอากาศ ตรวจสอบกระแสไฟฟ้าที่เข้าโรงเรือน ซึ่งหากพบความผิดปกติก็สามารถเข้าแก้ไขได้ทันที เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้
“การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาฟาร์มครั้งนี้ ก็ส่งผลให้คุณภาพไข่ไก่ดีขึ้น ทั้งขนาดที่ได้มาตรฐาน ได้ผลผลิตไข่ไก่ที่เยอะขึ้น โดยโรงเรือนที่ปรับปรุงเป็นการพัฒนาจากโรงเรือนเก่าเลี้ยงไก่ 10,000 ตัว ก็ออกไข่เฉลี่ยวันละ 1 ฟอง/ตัว ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มปรับปรุงพัฒนาโรงเรือนที่ 2 ให้เป็นระบบอัจฉริยะเพิ่มแล้ว ซึ่งในอนาคตก็จะขยายต่อเนื่อง ให้ครบโรงเรือนเดิมที่มีอยู่ 7 โรง”
คุณเอส เล่าว่า ก็ถือเป็นโชคดีที่พัฒนาระบบได้เร็ว เนื่องจากพี่ชายก็จบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มา จึงมาช่วยกันพัฒนาฟาร์มด้วยกัน ทำแอปพลิเคชันแจ้งเตือนผ่านมือถือหากพบความผิดปกติในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ซึ่งก่อนที่จะมาทำจุดนี้ ผมก็ตระเวนศึกษาดูงานการเลี้ยงไก่ไข่เก็บข้อมูลมากว่า 1 ปี เพื่อหาข้อเด่นข้อด้อย มาพัฒนาฟาร์มให้มีประสิทธิภาพที่สุด
ที่ผ่านมาเมื่อช่วงเดือน เม.ย.ปีนี้ ได้จัดทำโครงการฟาร์มไก่ไข่อัจฉริยะ ควบคุมด้วยเทคโนโลยี IoT กับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อขอทุนนำไปพัฒนาระบบอุปกรณ์ควบคุมเพื่อการพาณิชย์ต่อไป ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุน ถือเป็นการยกระดับฟาร์มไก่ไข่ของไทย
งานนี้ใครสนใจก็ไปศึกษาดูงานได้ที่ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา หรือจะไปอุดหนุนไข่ไก่ที่ร้าน “ไข่ดี หาดใหญ่” อยู่ใกล้ตลาดน้ำวัดคลองแห หาดใหญ่ หรือไปดูความเคลื่อนไหวฟาร์มได้ที่เฟซบุ๊ก : ร้าน ไข่ดี หาดใหญ่ กันได้นะ!!