นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างนำคณะผู้บริหารและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบปะภาคเอกชน สถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในประเทศเวียดนามว่า การหารือครั้งนี้เพื่อดูว่านักลงทุนที่มาลงทุนในเวียดนาม ได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ต้องการอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้ไทยกำหนดสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการนักลงทุน โดยไทยจะให้มากกว่าแบบมาตรการต่อมาตรการ เบื้องต้นพบว่าเวียดนามมีจุดแข็งเรื่องอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำถูกกว่า และมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เติบโตประมาณ 6-7% ต่อปีและมีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
นอกจากนี้ รัฐบาลกลางยังให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัดในการเจรจาสิทธิประโยชน์ให้กับนักลงทุน แต่ละรายและยังมีมาตรการแบบให้เช่าที่ดินแบบฟรีๆด้วย นอกจากนี้เวียดนามยังมีจุดเด่นเรื่องต้นทุนค่าไฟฟ้ายังอยู่ในระดับต่ำและ มีการเปิดการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป (อียู) อีกด้วย
ขณะเดียวกันเวียดนามก็ยังมีจุดอ่อนคือ กฎหมายการลงทุนบางข้อเขียนคลุมเครือ ทำให้นักลงทุนไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่เข้าใจแต่แรก ซึ่งจุดนี้ต่างกับประเทศไทยที่มีสิทธิ์การลงทุนที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง และไทยมีจุดแข็งเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรสามารถอำนวยความสะดวกรองรับการค้าการลงทุน แรงงานไทยมีทักษะฝีมือสูง ให้สิทธิ์ต่างชาติถือครองที่ดิน เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้
ทั้งนี้ จากการหารือยังพบว่า ปัจจุบันเวียดนามมีนักลงทุนระดับเศรษฐีเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและรายได้ ดังนั้น อีกมุมหนึ่งก็จะชักจูงนักลงทุนกลุ่มนี้เข้าไปลงทุนไทย ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กลับไปสรุปสถานการณ์และผลการหารือครั้งนี้ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อกำหนดมาตรการดึงดูดการลงทุนในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม และเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณา เชื่อมกับมาตรการภาพรวมที่แต่ละหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่.