ขาย 100 ล้านฉบับ! สลากยังแพง

พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังสำนักงานสลากได้พิมพ์สลากเพิ่มเพดานขึ้นเป็น 100 ล้านฉบับ มาแล้ว 2 งวด เพื่อแก้ปัญหาการ ขายสลากเกินราคา คือ งวดวันที่ 1 ส.ค.62 มียอดการพิมพ์ 97 ล้านฉบับ และวันที่ 16 ส.ค.62 มียอดการพิมพ์เต็มเพดาน 100 ล้านฉบับ นั้น แต่ปัจจุบันยังพบปัญหาสลากราคาแพงอยู่ โดยเฉพาะงวดที่ผ่านมามีการขายสลากถึงราคา 200 บาท ซึ่งเป็นเลขดังที่ประชาชนสนใจ ดังนั้น ระหว่างที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากยังไม่ออกมา เพื่อแก้ปัญหาสลากเกินราคา สำนักงานสลากจึงได้เปิดให้ผู้ค้าสลากรวมถึงประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน GLo Lottery ตั้งแต่ ส.ค.ที่ผ่านมา โดยภายในแอป สามารถตรวจผลรางวัล แจ้งข้อมูลและบันทึกผลสลากได้ และภายใน 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.62) จะมีการประเมินผลหลังใช้งาน ก่อนพิจารณาเพิ่มโควตาให้กับผู้ค้าสลากรายใดก็ตามที่มีความประพฤติดี และขายสลากในราคาที่สำนักงานสลากตั้งไว้คือใบละ 80 บาท อาจทำให้ผู้ค้าสลากจองซื้อได้เพิ่มถึง 10 เล่ม จากเดิมได้โควตาเพียง 5 เล่มเท่านั้น

“สำนักงานสลากได้เปิดให้ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้ค้าสลากรายย่อย ที่มารับสลากที่สำนักงานทยอยดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ตั้งแต่ 1 ส.ค.62 เป็นต้นไป เพื่อพิสูจน์ตัวตนของผู้ขายว่ามีตัวตนอยู่จริง และเพื่อเปิดโอกาสให้สำนักงานสลากประเมินผู้ขายได้ว่า ผู้ค้าสลากขายเกินราคาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีสลากเพียงพอสำหรับผู้ค้าทุกคน ทำให้ไม่ต้องไปรอต่อแถว ใช้รองเท้าจองที่เพื่อซื้อสลากเหมือนที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ เพื่อกระจายสลากไปยังผู้ค้ารายย่อย รวมถึงลดการขายเกินราคาจากการมีต้นทุนสลากที่สูง เดิมสำนักงานสลากเปิดให้ผู้ค้าสลากรายย่อย จองซื้อสลากผ่านระบบ 600,000 เล่มต่องวด และผ่านช่องทางการซื้อตรงกับกองสลาก 100,000 เล่มต่องวด แต่ปัจจุบันได้มีการปรับสัดส่วนการซื้อผ่านระบบการจองซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 620,000 เล่มต่องวด โดยหวังจะทำราคาสลากในตลาดอยู่ที่ 80 บาท ตามที่สำนักงานสลากได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทั่วประเทศมีตัวแทนขายทั้งหมด 30,000 ราย ขณะที่มีสัดส่วนผู้จองซื้อทั่วประเทศประมาณ 120,000 ราย “ส่วนสลาก 12 นักษัตร กำลังอยู่ในขั้นตอนศึกษาเท่านั้น และสำนักงานสลากกำลังนำข้อคิดเห็นต่างๆที่สังคมเสนอไปทบทวนและดูผลกระทบให้ชัดเจน จึงจะดำเนินการต่อได้ เพราะตาม พ.ร.บ.สลากฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ระบุว่า ถ้าสำนักงานสลากจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่จะต้องสอบถามความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและศึกษาผลกระทบก่อน”.