Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

มองเศรษฐกิจไทยครบ 6 เดือน รัฐบาล "แพทองธาร" ฟื้นตัวแต่ยังอ่อนแอ-เร่งปรับโครงสร้างรับมือความท้าทาย

Date Time: 17 มี.ค. 2568 05:55 น.

Summary

  • นับจากการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567 จนถึงขณะนี้ รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี Gen Z ของเราได้บริหารประเทศมาครบ 6 เดือน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะซบเซา ฟื้นตัวช้าที่สุดในอาเซียน ขณะที่หนทางข้างหน้ามีมรสุมใหญ่รอกระหน่ำจาก “สงครามการค้าโลกรอบ 2” ที่ประทุรุนแรง

นับจากการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567 จนถึงขณะนี้ รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี Gen Z ของเราได้บริหารประเทศมาครบ 6 เดือน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะซบเซา ฟื้นตัวช้าที่สุดในอาเซียน ขณะที่หนทางข้างหน้ามีมรสุมใหญ่รอกระหน่ำจาก “สงครามการค้าโลกรอบ 2” ที่ประทุรุนแรง

ล่าสุด จากการสำรวจความคิดเห็นของ “คนไทยในทุกระดับชั้น” ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น รายได้ยังต่ำ ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูง ภาระหนี้อยู่ในระดับสูง ขณะที่การระดมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่เกิด “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเห็นโอกาสของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 3-3.5%

แล้ว “ภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทยหลัง 6 เดือนของรัฐบาลเป็นอย่างไร” เราจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานอย่างไร และกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ “ทีมเศรษฐกิจ” ได้เสาะหาความจริงมาให้ผ่านการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในภาคหลักๆของเศรษฐกิจไทย...ดังนี้

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไทย

ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ ปีที่ผ่านมาจีดีพีขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำสุดในอาเซียน (ไม่นับเมียนมา) และต่ำกว่า 3 ประเทศคู่แข่งหลัก คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน ถึงแม้จีดีพีไตรมาส 4/2567 จะขยายตัว 3.2% และเร่งขึ้นจาก 3.0% ในไตรมาส 3/2567

โดยเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า การบริโภคภาคเอกชนชะลอลง แม้มีมาตรการแจกเงินจากภาครัฐ อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวสูง และหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 แม้ได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวก็ตาม

“ปัจจัยข้างต้นเป็นภาพที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ยังอ่อนแอ และความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจในสภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวช้า นอกจากนี้ การผลิตในกลุ่มยานยนต์ที่หดตัวสูงตามยอดขายรถยนต์ที่ลดลงมาก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันทั้งการลงทุน และสินค้าคงคลังของภาคเอกชนในไตรมาสที่ผ่านมา”

แต่สิ่งที่รัฐบาลทำได้ดี คือ ชักชวนต่างชาติให้มาลงทุนในประเทศ โดยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปีที่แล้วสูงสุดรอบ 10 ปี จะช่วยหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวในระยะถัดไป นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่พักพิงในไทยนานขึ้น จะช่วยให้รายรับจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการพลิกฟื้นเศรษฐกิจในภาวะปัจจุบันมีความท้าทายมาก จากปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% ของจีดีพี ทำให้การกระตุ้นการบริโภคไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หนี้สาธารณะที่เร่งขึ้นต่อเนื่องหลังโควิด ก็ทำให้เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจมีข้อจำกัดมากขึ้น อีกทั้งโลกอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ทั้งระบบคลาวด์ (Cloud) รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่ทำให้ความต้องการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และรถยนต์สันดาปที่เคยเป็น product champion ของไทยลดลง กดดันเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการส่งออก

“ปัจจัยระยะสั้นที่ต้องจับตา คือ นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯอาจลุกลามจนกระทบเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของเรา หรือแม้กระทั่งอาจกระทบไทยได้ เพราะไทยเกินดุลการค้าเป็นอันดับ 11 ของสหรัฐฯ รวมถึงเรามีส่วนต่างภาษีกับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับต้นๆของประเทศในเอเชีย ปัจจัยทั้งสั้นและยาวเหล่านี้เพิ่มความท้าทายให้กับระบบเศรษฐกิจ ทำให้งานของรัฐบาลยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก”

ส่วนมองไปข้างหน้านั้น คาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.8% จากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ควบคู่ไปกับการใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณปี 2568 ด้านการบริโภคภาคเอกชน คาดว่า จะเติบโต 2.6% ลดลงจาก 4.4% ในปีที่แล้ว ด้วยปัจจัยกดดันจากอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่ยังสูง ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงธุรกิจในภาคการผลิตยังคงซบเซา แต่การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยหนุนการบริโภคภาคเอกชน

“โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ไม่น่าส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากนัก เพราะมีประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ อาจสร้างแรงหมุนได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่แจกไป การปฏิรูปโครงสร้างจึงจำเป็นสำหรับไทยในการเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กลับมาสู่ศักยภาพที่ราว 4% ต่อปี และป้องกันไม่ให้จมดิ่งสู่ทศวรรษที่สูญเปล่า”

ดังนั้น รัฐบาลต้องแก้ปัญหาโครงสร้าง และสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจชุดใหม่ ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น มาตรการกระตุ้นการบริโภคยังจำเป็นและควรทำต่อเนื่อง แต่ควรเน้นนโยบายที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น โครงการคนละครึ่ง มาตรการ E-receipts ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและใช้งบประมาณน้อย ก็ควรทำรอบ 2 ในช่วงกลางปี

“สุดท้าย รัฐบาลต้องฟื้นฟูตลาดหุ้นไทยให้ได้ เพราะมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นจะช่วยสร้างพายุหมุนของการบริโภคในระบบเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล”

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย

หากมองย้อนไป 6 เดือนในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา และไตรมาสแรกปีนี้ เศรษฐกิจไทยดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากภาพช่วงหลังโควิด–19 ซึ่งไทยฟื้นตัวช้ากว่าทุกประเทศในอาเซียน (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์) ขณะนี้ช่วงห่างระหว่างการฟื้นตัวเริ่มแคบลงบ้าง แต่ก็ยังเป็นการฟื้นตัวที่มีความท้าทายมากในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่ดีขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้มาจากการใช้นโยบายการคลังและการลงทุนของภาครัฐเป็นตัวหลัก และคาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ต่อเนื่อง ซึ่งผมมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะเข้ามาทดแทนการใช้จ่ายภาคเอกชนที่เริ่มชะลอตัวพอดี เห็นได้จากยอดจำหน่ายสินค้าคงทน ยานยนต์ สินค้าที่ต้องกู้เงินมาซื้อ ที่ควรชะลอการซื้อไว้ก่อน ธนาคารพาณิชย์ก็ระมัดระวังการปล่อยกู้ เป็นผลจากหนี้ครัวเรือนไทยที่อยู่ในระดับสูงมาก

“สิ่งสำคัญอย่างแรกในปีนี้คือ การเร่งลดหนี้ของครัวเรือนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เร่งปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเมื่อคนมีหนี้น้อยลง ก็จะมีเงินมาใช้จ่ายอย่างอื่น มาซื้ออาหาร หรือลงทุนเพิ่ม และสิ่งที่ธนาคารโลกอยากจะเสนอคือ ภายใต้มาตรการแก้หนี้ ทางการควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการให้ “หนี้ครัวเรือน” ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 89% ลงมาอยู่ที่เท่าไร โดยมาตรฐานสากลที่รับกันได้อยู่ที่ 70-80%”

ขณะที่มองไปข้างหน้า ยังคงเห็นความท้าทายจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ผลจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่การขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรงกับไทยนั้น แม้ไทยจะเกินดุล การค้าสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 13 ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง แต่ผลกระทบอาจจะไม่สูงมาก เพราะเป้าหมายสหรัฐฯจะดูประเทศคู่ค้าที่ขนาดใหญ่ มูลค่าการค้าสูงมากกว่า นอกจากนั้น หากประเมินจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ซึ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุน ในช่วงตั้งแต่ที่แน่ใจว่าทรัมป์จะได้กลับมา ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงไม่มาก แสดงถึงความเสี่ยงที่น้อยกว่าหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ธนาคารโลกกังวลและจับตามอง คือ หากสงครามการค้ามีผลให้ประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น จีน และสหรัฐฯชะลอตัว จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยด้วย โดยหากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯหรือจีน ลดลง 1% เศรษฐกิจไทยจะลดลง 0.5% จากกำลังซื้อของโลกที่ลดลง

การเร่งลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการดึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ซึ่งปีที่ผ่านมามีเอฟดีไอในอัตราสูงมาก ในอุตสาหกรรมภาคบริการ และภาคที่ใช้เทคโนโลยีสูง แต่ปัญหาหนึ่งที่เห็นก็คือ ในขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่มีกฎระเบียบ กฎเกณฑ์มากที่สุดในอาเซียน แซงหน้าอินโดนีเซียที่เคยเป็นที่ 1 ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้ามาลงทุน และเข้ามาทำงานของต่างชาติ ที่มีความเชี่ยวชาญแรงงานที่มีทักษะสูงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่เราต้องการให้มาลงทุน ดังนั้น หากเราต้องการเอฟดีไอที่สูงขึ้น ก็ต้องเร่งแก้กฎระเบียบที่มากมายนี้โดยเร็ว

“การมองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน จะมองได้ 2 อย่าง คือ มองวันนี้เราอยู่ตรงไหน กับมองว่าเราโตได้ตามศักยภาพ และไปสู่เป้าหมายหรือไม่ โดยหากมองว่า เราโตได้เต็มศักยภาพหรือยัง ล่าสุด ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 2.7% จาก 2.9% แต่หากเทียบกับเป้าหมายที่ไทยต้องการเป็นประเทศรายได้สูงใน 20 ปีข้างหน้า ซึ่งเศรษฐกิจไทยควรจะต้องโตเฉลี่ยปีละ 4-5% ตลอด 20 ปี จึงจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้”

ที่ผ่านมาเราพึ่งพาการโตด้วยการใช้จ่ายของภาคเอกชนมาก ซึ่งทำให้คนไทยมีหนี้สะสมสูง และวันนี้เราต้องเร่งแก้หนี้ ซึ่งเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ ขณะที่การลงทุนของเราต่ำมากมาตั้งแต่ปี 2540 วันนี้การเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม หากมองระยะสั้น ข้อดีคือ เรามีเสถียรภาพทางการเงิน อัตราเงินเฟ้อไม่สูง ทุนสำรองสูง อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ การออกมาตรการต่างๆ ควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงไปในกลุ่มที่มีความต้องการจริงๆ เช่น กลุ่มคนยากจน คนสูงอายุ คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น คนติดเตียง ซึ่งจะช่วยประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอาไว้ได้ในระหว่างรอผลดีของการลงทุนใหม่ที่จะกระจายการฟื้นตัวออกไป

“ธนาคารโลกมองว่า รัฐสามารถเพิ่มเงินช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ให้มากขึ้นได้ เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และยังมีผลกระตุ้นการใช้จ่าย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้หากได้รับเงินเพิ่ม จะใช้จ่ายแทบทั้งหมด ต่างจากการให้คนรายได้สูงและปานกลาง และยังอาจช่วยสร้างแรงหมุนของเศรษฐกิจได้สูงกว่า นโยบายในลักษณะให้เท่ากันทุกคนที่ทำอยู่อีกด้วย”

ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

“เศรษฐกิจไทยกำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลบริหารประเทศครบ 6 เดือน อัตราการเติบโตของจีดีพีค่อยๆขยับขึ้นจาก 1.7% ในไตรมาสแรกของปี 2567 สู่ระดับ 3.2% ในไตรมาส 4 ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าไตรมาสแรกของปี 2568 จะขยายตัว ได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค การส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย”

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขการเติบโตจะดูเป็นบวก แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อที่ยังคงซบเซา ต้นทุนดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า การกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ ที่อาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคง ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการระยะสั้น เช่น ป้องกันการทุ่มตลาดจากสินค้าต่างชาติ กระตุ้นกำลังซื้อ ลดค่าครองชีพ และยกระดับภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวรวมถึงต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลควรมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ ส่งเสริมลงทุนของภาคเอกชน พัฒนาทักษะแรงงาน ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

สำหรับทิศทางภาคค้าปลีกปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตราว 3% โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ แต่ความเปราะบางของตลาดยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา

โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้าราคาต่ำ ซึ่งกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอีและค้าปลีกท้องถิ่น ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป 6 ข้อ ประกอบด้วย

1.เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างสมดุล เร่งมาตรการกระตุ้นการบริโภคและลดค่าครองชีพ ระหว่างปัญหาเฉพาะหน้าและการวางรากฐานระยะยาว อันนี้เป็นโจทย์เร่งด่วน

2.ผลักดันมาตรการ Regulatory Guillotine ลดทอนกฎระเบียบที่ล้าสมัย ซับซ้อน เปิดทางสู่การลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปฏิรูปภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น

3.ป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำจากต่างประเทศ เปลี่ยนจากการสุ่มตรวจเป็นตรวจ 100% พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพให้แม่นยำ ปิดช่องโหว่ด้านกฎหมาย เช่น กำหนดราคาขั้นต่ำของสินค้านำเข้าเพื่อป้องกันการขายตัดราคา และบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าให้รัดกุม

4.ปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซต่างชาติให้เท่าเทียมกับผู้ค้ารายอื่น เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางธุรกิจและการแข่งขันที่โปร่งใส

5.ตรวจสอบและควบคุมการจัดตั้งบริษัทที่อาจมีการสวมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติ พร้อมกำหนดมาตรฐานการขอใบอนุญาตที่ชัดเจน เช่น กำหนดสัดส่วนการจ้างงานคนไทย และกำหนดโซนสำหรับธุรกิจต่างชาติ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศ

และ 6.สนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีและซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านโครงการ Thai SELECT และ Made in Thailand รวมทั้งทดลองมาตรการ Tax Free หรือยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น เป็นต้น.

ทีมเศรษฐกิจ

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

หลักสูตรความรู้ทางการเงิน ควรมีการเรียน/ การสอน ช่วงไหน

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)