Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

จี้รัฐเร่งทำแผนเจรจา “ทรัมป์” สรท.หวั่นส่งออกไปสหรัฐฯ กระทบหนัก

Date Time: 3 มี.ค. 2568 09:40 น.

Summary

  • สรท. จี้รัฐเร่งกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาต่อรอง “ทรัมป์” และให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วย หวั่นล่าช้า ไม่ทันการณ์ ทำส่งออกไปสหรัฐฯดิ่ง ด้าน สศอ. เผย เอ็มพีไอเดือน ม.ค. ขยับตามมาตรการอัดฉีดภาครัฐ ชี้ดอกเบี้ยลดลงหนุนจีดีพีภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม 0.1%

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงการเตรียมการของรัฐบาลไทยเพื่อรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ หากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองหรือกำหนดเป็น Single Trade Policy ก็อาจไม่ทันการณ์ และอาจทำให้การส่งออกไปสหรัฐฯได้รับผลกระทบ จากปี 67 ที่ส่งออกได้เกือบ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนราว 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งน่าจะเห็นภาพผลกระทบตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และ สรท.ต้องการให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเตรียมการรับมือ เพราะเอกชนเป็นผู้ทำการค้ากับสหรัฐฯตัวจริง มีข้อมูลต่างๆชัดเจน ซึ่งจะทำให้วางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาต่อรองได้อย่างชัดเจน

สำหรับการเจรจาต่อรองที่ไทยอาจเพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯในสินค้าที่นำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงน้ำมันดิบนั้น รัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการเพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตร ที่อาจก่อปัญหาให้ภาคเกษตรระยะยาว กับการลดมูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ปี 67 ไทยได้ดุลเป็นอันดับ 11 ของโลก กว่า 35,000 ล้านเหรียญ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพราะต้องนำเข้าเท่าไรจึงจะถึงจุดที่ลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯได้ นอกจากนี้ ไทยยังต้องแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนด้วย ที่ปี 67 ไทยขาดดุลมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยต้องเร่งแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะเหล็กและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ต่างๆ ฯลฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลังสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าจีน
ด้านนายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เดือน ม.ค.68 หดตัว 0.85% มาอยู่ที่ระดับ 98.89 จากเดือน ม.ค.67 ที่อยู่ที่ 99.74 แต่เพิ่มขึ้น 8.7% จากเดือน ธ.ค.67 ที่อยู่ที่ 90.18 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 60.38% จากเดือน ธ.ค.67 ที่อยู่ที่ 56.49% โดยมีปัจจัยหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น แจกเงิน 10,000 บาท โครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” โครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการผลิตเพิ่มขึ้น รองรับการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งตลาดส่งออกขยายตัวดี นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น

“กรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2% นั้น ส่งผลดีต่อภาคการผลิตในด้านการลงทุน และการขยายธุรกิจ เพราะมีต้นทุนการกู้ยืมเงินถูกลง จูงใจให้เกิดลงทุน หรือขยายกิจการได้มากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้จีดีพีภาคการผลิตเติบโตได้ 0.1% เมื่อเทียบกับการไม่ลดดอกเบี้ย”.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

คุณมีการออมทองกับร้านใดต่อไปนี้

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)