ครม.ร่อนหนังสือถึง กนง.พิจารณาลดดอกเบี้ย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำวันนี้เงินเฟ้อยังหลุดเป้าต่อเนื่อง ขณะที่แบงก์ส่วนใหญ่ฟันธง กนง.คงดอกเบี้ยครั้งนี้ ยกเว้นซีไอเอ็มบีไทย-กรุงศรี หนุนลดดอกเบี้ย เหตุนโยบายการคลังแป้ก-เศรษฐกิจชะลอกว่าคาด
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้นำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ โดยการส่งหนังสือในลักษณะนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรัฐบาลชุดนี้ โดยสาระสำคัญของหนังสือที่ ครม.ได้ส่งให้ ธปท.พิจารณา เนื่องจาก ครม.มีความกังวลถึงอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 1-3% ซึ่งระดับเงินเฟ้อทั่วไปของประเทศไทย อยู่ในระดับที่ต่ำเป็นเวลานาน และยังไม่มีทีท่าว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสามารถเข้าสู่กรอบที่กำหนดได้
“ครม.มีความเห็นว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.จะต้องสอดคล้องกับกรอบเงินเฟ้อที่กำหนด ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับนโยบายการคลังของรัฐบาลด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องช่วยกัน เป็นความเห็นของทาง ครม.”
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ส่วนควรจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเท่าไหร่ ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 2.25% นั้น คาดหวังให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ซึ่งนั่นน่าจะถือว่าเป็นทิศทางที่ดี อย่างไร ก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะต้องดูหลายๆ ปัจจัยในแต่ละช่วงประกอบ เช่น การปรับลดแล้วค่าเงินบาทเป็นอย่างไร การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อเดือน ต.ค.67 กนง.ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.25% ก็มีส่วนช่วยเศรษฐกิจ โดยช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจ การปรับลดครั้งหนึ่งมีผลบวกต่อเศรษฐกิจให้ขยายตัวดีขึ้นแน่นอน
ส่วนที่เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความเห็นว่า ควรเก็บกระสุนทางการเงินไว้ใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหานั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีช่องว่างทางนโยบายการเงินเหลือไม่จำเป็นต้องประหยัดมาก ที่ผ่านมาชอบทำอะไรที่ช้าเกินไป แล้วมาทำที่หลังผลมันก็ไม่ทันต่อสถานการณ์แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แม้ว่ารัฐบาลจะต้องการให้ กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่มุมมองของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังเป็นการคงอัตราดอกเบี้ย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุม กนง.จะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ต่อเนื่อง โดยรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า การประชุม กนง. รอบนี้ น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็น หรือยังไม่มีสัญญาณชัดเจนจะต้องเร่งลดดอกเบี้ยในขณะนี้ ขณะที่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะชะลอการลดดอกเบี้ยออกไปเร็วสุดในช่วงเดือน มิ.ย.โดยจะเห็น กนง.ลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี
ด้านนายทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศ ไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย กนง.ก็กำลังประเมินความเสี่ยงจากสงครามการค้า และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเข้ามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ โดยคาดว่าในปี 68 กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว ในเดือน มิ.ย. ขณะที่นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาดว่า กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ในการประชุมนัดแรกของปีเพื่อรักษาขีดความสามารถการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต ท่ามกลางประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่ลดลง และเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ กนง.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในรอบการประชุมที่จะถึงนี้ โดยเห็นว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวไปมากกว่านี้ หรือพยายามรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจเทียบไตรมาสต่อไตรมาสให้ทรงตัว ไม่ให้ปรับลดลง ขณะที่ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจช่วยประคองแรงส่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะแม้ว่า จะมีรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จาก 4 โครงการเศรษฐกิจที่สำคัญจะก่อให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 260,000 ล้านบาท แต่ประสิทธิผลของแต่ละโครงการอาจมีผลเชิงบวกจำกัด การใช้มาตรการทางการคลังด้านเดียวอาจไม่เพียงพอ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ กนง.จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2% ในการประชุมครั้งนี้.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล