ในที่สุดก็เดินทางมาถึงสิ้นปี 2566 ตลอดทั้งปีนี้เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของเศรษฐกิจโลก แม้ทั่วโลกจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างที่นักวิเคราะห์หลายๆ คนคาดการณ์ไว้ในปีที่แล้ว แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อที่กระทบค่าครองชีพของประชาชน ในขณะเดียวกันก็เป็นซ้ำเติมให้หนี้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น จากต้นทุนการกู้ยืมที่มากขึ้น
“ปัญหาเงินเฟ้อ” ไม่ได้สะท้อนผ่านค่าครองชีพและภาระหนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการหดตัวของขนาดสินค้าในชีวิตประจำวัน ทำให้เราต้องจ่ายแพงขึ้น โดยที่ไม่ทันสังเกต หรือที่เรียกว่า Shrinkflation
สถานการณ์นี้เรียกว่า “Shrinkflation” ซึ่งเป็นเทคนิคการตลาดของเหล่าแบรนด์ต่างๆ ที่จะทำการลดปริมาณ ขนาด หรือปรับส่วนผสมของสินค้า แต่ยังคงราคาขายเท่าเดิม เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ต้องส่งต่อต้นทุนมายังผู้บริโภค
เหตุผลที่กลยุทธ์นี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มธุรกิจอาหาร เนื่องจาก เป็นวิธีที่แนบเนียนและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกผู้บริโภคน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นราคาแบบโต้งๆ
อย่างไรก็ตาม Shrinkflation กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากทั่วโลก ถึงความชอบธรรมว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “เทคนิคการตลาดที่หลอกลวง” ในขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสกล่าวว่าจะมีการออกกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับการแจ้งเตือนหากมีการลดขนาดลง
ข้อมูลจากรายงาน ศึกษาชุดพิเศษ “What worries Thailand” โดย อิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทผู้ให้บริการงานวิจัยด้านการตลาดแบบครบวงจร ได้อธิบายถึงสถานการณ์ Shrinkflation ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
จากการสำรวจผู้บริโภคใน 33 ประเทศทั่วโลก พบว่า กว่า 46% สังเกตเห็นถึงเห็นขนาดสินค้าที่เล็กลงแต่ราคาคงเดิม สถานการณ์ Shrinkflation ถูกสังเกตเห็นมากที่สุดในยุโรป โดยอังกฤษเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้บริโภค ที่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดที่ 64% ตามมาด้วยฝรั่งเศส 63% และเยอรมนี 62%
ในขณะที่ผู้บริโภคในลาตินอเมริกา และเอเชีย สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า โดยผู้บริโภคในโคลอมเบียมีการรับรู้ที่ 28% ในขณะผู้บริโภคในอินเดีย และจีนอยู่ที่ 30%
ทั้งนี้ ผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 4 หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยทั่วโลก 22% ยอมรับได้ที่ธุรกิจและผู้ค้าปลีกใช้กลยุทธ์ Shrinkflation เพื่อลดต้นทุน แต่ผู้บริโภคโดยเฉลี่ย 48% มองว่าการลดขนาดสินค้า แต่คงราคาเท่าเดิม เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในไทย พบว่า ภาวะเงินเฟ้อ ยังเป็นปัจจัยที่กระทบเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากคนไทยต้องดิ้นรนต่อสู้กับภาวะวิกฤติด้านค่าครองชีพ ในขณะเดียวกันก็ยังมีความหวังกับเศรษฐกิจในอีกครึ่งปีข้างหน้า นอกจากนี้ 50% ของคนไทยยังมองว่า ราคาสินค้าและบริการในปีหน้า จะสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน
39% ของผู้บริโภคไทยสังเกตเห็นขนาดสินค้าเล็กลงแต่ราคาคงเดิม
57% รู้ว่าต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ขนาดสินค้าเท่าเดิม
29% สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของส่วนผสมที่ใช้ในอาหารและผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยที่ราคาคงเดิม
ทั้งนี้ 50% ของคนไทยคิดว่า การที่ธุรกิจและผู้ค้าปลีกทำการลดขนาดสินค้า โดยยังคงราคาเท่าเดิม เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 22% อย่างมีนัยสำคัญ