แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคเพลิดเพลินกับสินค้านำเข้าราคาประหยัดจากแพลตฟอร์มอย่าง Shein, AliExpress และ Temu แอปช็อปปิ้งจากเมืองจีนที่กลายเป็นกระแสไปทั่วโลกซึ่งผู้ใช้งานชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านราย ในขณะที่ Shein มีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ อยู่ที่ 13.7 ล้านคนในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความง่ายในการได้มาซึ่งสินค้าราคาถูก กำลังทำให้ธุรกิจอเมริกันต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น คือ “มาตรการการยกเว้นภาษีขั้นต่ำ” (De Minimis Exemption)
“De Minimis Exemption” เป็นมาตรการทางศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 26,600 บาท) สามารถเข้าสู่ประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและแทบไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากศุลกากร เดิมที กฎนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดภาระงานของหน่วยงานภาครัฐและส่งเสริมการค้าขนาดเล็ก แต่ในยุคอีคอมเมิร์ซ กฎนี้กลับกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้สินค้าต่างชาติทะลักเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เพียงพอ
โดยก่อนหน้านี้ข้อมูลจากงานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ที่ Nomura Holdings พบว่า การขนส่งที่มีมูลค่าต่ำ (De Minimis) คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของมูลค่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ โดยปริมาณการขนส่งแบบ De Minimis สหรัฐฯ อยู่ที่ 1.4 พันล้านชิ้นในปีงบประมาณ 2024 ตามข้อมูลของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ ซึ่งจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2022 ขับเคลื่อนโดยบริษัทค้าปลีกออนไลน์เจ้าใหญ่ ที่เน้นกลยุทธ์ให้ส่วนลดราคาถูกเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะ Temu และ Shein
สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 นักช้อปและบริษัทในสหรัฐฯ นำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำที่ได้รับการยกเว้นภาษีไปแล้ว ประมาณ 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Temu ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐฯ กลายเป็นอีคอมเมิร์ซทางเลือกแทน Amazon รวมถึงเครือร้านค้าปลีก เช่น Hobby Lobby, Party City และ Dollar Store
ผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาเริ่มชัดเจนขึ้นว่า ธุรกิจอเมริกันต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง แบรนด์ดังหลายเจ้าที่เคยเป็นผู้นำตลาดกลับต้องเผชิญปัญหาทางการเงิน ตัวอย่างเช่น Forever 21 ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นยอดนิยมของอเมริกา ยื่นล้มละลายในปี 2019 และล่าสุดอีกครั้งในปีนี้เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติได้ แม้จะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่แบรนด์ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจาก Shein และ Temu ที่ใช้กฎ De Minimis ส่งเสื้อผ้าราคาถูกเข้าสหรัฐฯ
อ่านเพิ่มเติม Forever 21 ยื่นล้มละลายอีกครั้งในรอบ 6 ปี เตรียมปิดกิจการหลังพ่ายศึก Shein-Temu สงครามราคา
American Eagle และ Gap รายงานว่ายอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องในกลุ่มสินค้าราคาประหยัด เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่มีต้นทุนต่ำกว่าจากจีน นอกจากนี้ยังมีแบรนด์เครื่องสำอางและสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น Revlon และ Morphe ต่างได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าผ่านช่องทางออนไลน์เช่นเดียวกัน
แม้ว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากสินค้าราคาถูก แต่ข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรม สมาคมการค้า และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่งชี้ว่ามีธุรกิจจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในแง่ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและอุปสรรคทางการค้า ทำให้ภาคธุรกิจและนักการเมืองในสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่าควรแก้ไขมาตรการ De Minimis Exemption
ปัจจุบัน ธุรกิจและนักการเมืองในสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่าควรแก้ไขกฎ De Minimis Exemption หรือไม่ เพราะแม้มาตรการนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการค้าเสรีและช่วยให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าราคาถูก แต่ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจของกฎนี้กลับทำให้แบรนด์อเมริกันเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ล่าสุด หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศพิจารณายกเลิกมาตรการ De Minimis ร่วมกับการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดให้เก็บภาษีศุลกากรอัตรา 25% จากแคนาดาและเม็กซิโกรวมถึงขึ้นภาษีศุลกากรอีก 10% กับสินค้าที่มาจากจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล กล่าวว่า ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ต้องสูญเสียรายได้ภาษีศุลกากรมูลค่ามหาศาล และช่องโหว่จากข้อยกเว้นภาษีดังกล่าวยังเป็นอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจจับสารเสพติดเฟนทานิลที่ถูกลักลอบเข้ามาในสหรัฐฯ
ทั้งนี้แม้ว่ามีข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปและออกคำสั่งใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงกฎนี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกทางการค้าและความเป็นธรรมในการแข่งขันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และบริษัทขนส่งระหว่างประเทศอาจคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากพวกเขาได้รับประโยชน์จากระบบปัจจุบัน และนั่นทำให้เราอาจได้เห็นแบรนด์อเมริกันที่เคยโด่งดัง ณ ยุคหนึ่ง ประกาศล้มละลายและทยอยปิดตัวอีกในไม่ช้า
บทความที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิงข้อมูลจาก Vogebusiness , Glossy , Supplychaindive
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -