“Forever 21” แบรนด์เสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์แฟชั่นรีเทลสัญชาติอเมริกันที่เคยได้รับความนิยมทั่วโลก ยื่นขอล้มละลายครั้งที่สองและเตรียมยุติการดำเนินธุรกิจภายในประเทศ นับเป็นครั้งที่สองภายในหกปีจากการยื่นล้มละลายครั้งแรกในปี 2019
Forever 21 เข้าสู่กระบวนการล้มละลายด้วยหนี้สิน 1.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากขาดทุนมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยในปี 2024 บริษัทขาดทุนถึง 150 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 180 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 ตามเอกสารที่ยื่นต่อศาลล้มละลายในเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 มี.ค.)
"เราไม่สามารถหาหนทางที่ยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากการแข่งขันจากบริษัทแฟชั่นรวดเร็วจากต่างประเทศที่ใช้ข้อยกเว้น de minimis เพื่อกดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าของเรา" แบรด เซลล์ (Brad Sell) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Forever 21 กล่าว
บริษัทระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากต้นทุนที่สูงขึ้นและผลกระทบจากบริษัทต่างชาติที่ใช้ประโยชน์จากข้อยกเว้นภาษีศุลกากรและกระบวนการทางศุลกากรของสหรัฐอเมริกาสำหรับสินค้าที่นำเข้าส่งตรงถึงผู้บริโภคที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (de minimis exemption) ซึ่งช่วยให้ผู้ค้าปลีกออนไลน์จากจีน เช่น Shein และ Temu สามารถคงราคาสินค้าให้ต่ำได้ สามารถส่งสินค้าราคาต่ำจากจีนมายังสหรัฐฯ ได้ ทำให้บริษัทเสียเปรียบด้านราคาและกำไร
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชะลอการยกเลิกข้อยกเว้นดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร บริการไปรษณีย์ บริษัทขนส่ง และผู้ค้าปลีกออนไลน์ทั่วสหรัฐฯ
Forever 21 ก่อตั้งขึ้นในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1984 โดย Do Won Chang & Jin Soo ซึ่งเป็นสองผู้อพยพชาวเกาหลีใต้ที่เข้ามาพักพิงในสหรัฐฯ สไตล์ฟาสต์แฟชั่น การคัดสรรเสื้อผ้าตามเทรนด์และราคาไม่แพงมากในขณะนั้นทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ลูกค้าวัยหนุ่มสาวที่มองหาเสื้อผ้าแฟชั่นในราคาย่อมเยา โดยในช่วงที่ธุรกิจรุ่งเรืองราวปี 2000–2010 บริษัทมีพนักงานถึง 43,000 คน ดำเนินกิจการ 800 สาขาทั่วโลก และมีรายได้ต่อปีมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจากเอกสารที่ยื่นต่อศาล
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซและการลดลงของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐฯ หลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อบริษัทค้าปลีกแฟชั่นหลายราย รวมถึง Forever 21 และ Express ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ Bonobos ที่ยื่นล้มละลายเมื่อปีที่แล้ว
ซาร่าห์ ฟอสส์ (Sarah Foss) หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและการปรับโครงสร้างหนี้ของ Debtwire ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อให้ความเห็นว่า Forever 21 ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ โดยตั้งแต่ต้นปี 2024 ภาคธุรกิจค้าปลีกมีการยื่นล้มละลายถึง 20 ราย ขณะที่มีธุรกิจค้าปลีกอย่างน้อย 25 รายที่เคยยื่นล้มละลายมาแล้วสองครั้งตั้งแต่ปี 2016 ตามข้อมูลของ Debtwire
การล้มละลายของ Forever 21 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของผู้ค้าปลีกแฟชั่นรวดเร็วแบบดั้งเดิมที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน โดยเฉพาะยุคนี้ที่คนเดินห้างน้อยลงและแบรนด์แฟชั่นต่างใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางหลักอย่างสมบูรณ์
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซยิ่งทำให้ตลาดค้าปลีกแฟชั่นแข่งขันรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะจากคู่แข่งต้นทุนต่ำจากจีนอย่าง Shein และ Temu ที่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพตลาดไปอย่างมาก ความสามารถของบริษัทเหล่านี้ในการจัดส่งสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรจำนวนมาก ตามกฎ de minimis ของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อผู้ค้าปลีกภายในประเทศ
Forever 21 เคยยื่นขอล้มละลายครั้งแรกในปี 2019 และได้รับการช่วยเหลือโดย Sparc Group ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Authentic Brands Group และผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ได้แก่ Simon Property และ Brookfield Asset Management
หลังจากพ้นสภาวะล้มละลายครั้งแรก บริษัทมีรายได้ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 แต่เริ่มกลับมาขาดทุนอีกครั้งในปีถัดมา ในปี 2023 หลัง Shein ได้เข้าถือหุ้นใน Sparc Group เพื่อเป็นพันธมิตรให้ Forever 21 สามารถจำหน่ายสินค้าบางรายการบนเว็บไซต์ของ Shein ได้ แต่ข้อตกลงนี้ไม่สามารถหยุดยั้งการขาดทุนของบริษัทได้ ตามเอกสารของศาล
ปัจจุบัน Forever 21 เป็นเจ้าของโดย Catalyst Brands ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม จากการควบรวมกิจการระหว่าง Sparc และ JC Penney ห้างสรรพสินค้าที่ Simon Property Group เป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2020
เมื่อ Catalyst Brands ก่อตั้งขึ้น บริษัทได้ประกาศว่ากำลัง "พิจารณาทางเลือกเชิงกลยุทธ์" สำหรับ Forever 21 ขณะที่ Authentic Brands ยังคงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาของ Forever 21 ซึ่งอาจมีการนำไปใช้ในอนาคต
โดยในปีที่ผ่านมา เจมี่ ซอลเตอร์ (Jamie Salter) ซีอีโอของ Authentic Brands เคยกล่าวว่า "การซื้อกิจการ Forever 21 เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของผม"
สถานะปัจจุบัน Forever 21 กำลังจัดทยอยจลดราคาสินค้า เพื่อเตรียมปิดกิจการในทุกสาขาทั่วสหรัฐฯ และจะยังคงให้ลูกค้าใช้บัตรของขวัญภายใน 30 วันแรกได้ตามเวลาที่ขอยื่นตามกระบวนการล้มละลาย นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงพิจารณาผู้ที่สนใจซื้อกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดของธุรกิจในสหรัฐฯ ขณะที่สาขาในต่างประเทศที่ยังดำเนินการอยู่จะไม่ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายครั้งนี้
อ้างอิงข้อมูลจาก Reuters , Retaildive
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -