การเจอกันระหว่าง ความหรูหราของแบรนด์ดัง กับ โครงการที่อยู่อาศัย กลายเป็นโมเดลใหม่สุดฮอตในตลาดอสังหาฯ ขณะนี้ โดยในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา แนวโน้มการพัฒนา Branded Residence ที่มีต้นกำเนิดจากตะวันตก จากเดิมที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ กำลังขยายตัวไปในตลาดทั่วโลกโดยเอเชีย
ในช่วงปีที่ผ่านมาตลาด Branded Residence ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชันที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดสำนักข่าว Nikkei Asia ฉายภาพรวมการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ลักชัวรีที่กำลังเติบโตอย่างโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียน
นำโดย “ไทย” ที่มีมูลค่าตลาด Branded Residence สูงที่สุดกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ส่งเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่ไม่ใช่แค่มอบความสะดวกสบายฉบับคนเมืองให้กับผู้อยู่อาศัย แต่ยังเป็นจุดหมายการลงทุนด้านอสังหาฯ ชั้นดีอีกด้วย
ข้อมูลจาก Savills Global Residential Development Consultancy (GRDC) ระบุว่า ในปี 2024 โครงการ Branded Residence ทั่วโลกมีจำนวน 1,526 โครงการ โดยเอเชียมีสัดส่วน 21% และอาเซียนคิดเป็น 12% ในขณะที่อเมริกาเหนือยังคงครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 25% อย่างไรก็ตามข้อมูลชี้ให้เห็นว่า "แนวโน้มกำลังเปลี่ยนไปทางเอเชีย" และมีความเป็นไปได้ที่จะเทียบเท่าอเมริกาเหนือภายใน 10-12 ปีข้างหน้านี้
รายงานระบุว่า กระแสดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง บวกกับ "การย้ายถิ่นระดับโลก" ของนักลงทุนหลังจากการระบาดใหญ่ของ Covid-19 และผู้ที่มองหาสถานที่พักผ่อนไปจนถึงลงหลักปักฐานหลังเกษียณ โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2028 จำนวนนักลงทุนที่มีทรัพย์สินไม่น้อยกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1 ล้านบาทในเอเชีย จะเพิ่มขึ้น 38.3% จากปี 2023 แซงหน้าภูมิภาคตะวันออกกลางที่ 28.3% และอเมริกาเหนือที่ 25.7% โดยมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนามคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 30% ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อสำคัญในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้กลยุทธ์ของเจ้าของ Brand Residence เองต้องการรักษาฐานลูกค้าระดับสูงของตนผ่านการนำเสนอที่พักอาศัยที่กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญมากขึ้น ต่างจากโรงแรมที่ต้องพึ่งพาอัตราการเข้าพักที่ผันผวน โครงการเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงจากค่าธรรมเนียมการบริหารและการใช้แบรนด์ ซึ่งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตโรงแรมโดยทั่วไปอยู่ที่ 2% ของยอดขายสำหรับแบรนด์มาตรฐาน และสูงกว่า 5% สำหรับแบรนด์หรู และสูงถึง 10% สำหรับแบรนด์อัลตราลักชัวรี
หนึ่งในแบรนด์ที่กำลังมุ่งเน้นเจาะตลาดอาเซียนมากขึ้น ได้แก่ Four Seasons เครือโรงแรมและรีสอร์ทหรูจากโตรอนโต แคนาดา ซึ่งดำเนินโครงการที่อยู่อาศัยในภูมิภาคนี้แล้ว 6 โครงการ รวมถึงโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2020 และยังมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยในอาเซียนเป็นสองเท่าภายใน 5-10 ปี โดยระบุถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี หรืออีกหลายแบรนด์ที่มีรากฐานจากประเทศไทยอย่าง Amanpuri Resort และ Banyan Tree
ความโดดเด่นของประเทศไทย พบว่า ความพยายามในการดึงดูดแรงงานทักษะสูงและนักลงทุน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และสิงคโปร์ ผ่านโครงการวีซ่าพำนักระยะยาวและการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการอยู่อาศัย มีส่วนช่วยให้ธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก C9 Hotelworks Market Research ปัจจุบัน “ไทย” ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดอสังหาฯ ระดับลักชัวรี ในภูมิภาค โดยมีโครงการที่เปิดตัวแล้วจำนวน 12,656 ยูนิต มูลค่ารวม 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 32% ของอุปทานทั้งหมดในเอเชีย
ปัจจุบันโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯ ระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน โดยมีชาวจีนเป็นกลุ่มนักลงทุนหลักในตลาดคอนโดมิเนียม คิดเป็น 40% ของธุรกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการโดยชาวต่างชาติ ตามข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มธุรกรรมเหล่านี้ยังรวมถึงโครงการระดับกลางอีกด้วย
สำหรับโครงการในไทยที่หลายฝ่ายจับตาในปีนี้ หนึ่งในนั้น คือ การเปิดตัวของ Aman Nai Lert Bangkok โครงการที่พักอาศัยและโรงแรมมูลค่า 6 พันล้านบาทในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นโรงแรมแบรนด์อมันแห่งแรกในไทย ภายใต้การพัฒนาของทายาทรุ่นที่ 4 ของ “นายเลิศกรุ๊ป”
นอกจากนี้ยังมีดีลใหญ่อย่าง Standard International แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในธุรกิจไลฟ์สไตล์โฮเทล ที่จับมือกับ แสนสิริ และ กลุ่มเซ็นทรัล เปิดตัว The Standard Residences บนทำเลเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างหัวหินและภูเก็ต
ด้านโรงแรมหรู (Luxury Hotel) ที่มีการเปิดให้บริการระหว่างปี 2566-2567 ก็มีหลายแห่งเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมหรือรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น Hilton Garden Inn Bangkok Riverside, Dusit Thani Bangkok, The Ritz-Carlton Bangkok เป็นต้น
ทั้งนี้นอกจากประเทศไทยแล้ว กลุ่ม Branded Residence ยังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศอื่น ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยเวียดนามมีโครงการที่เปิดตัวแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนามากถึง 17,680 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ฟิลิปปินส์กำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม C9 Hotelworks และผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตที่เตือนผู้ซื้อถึงการตรวจสอบสถานะของผู้พัฒนาและสัญญาการบริหารจัดการอย่างถี่ถ้วน ท่ามกลางการเก็งกำไรที่เพิ่มมากขึ้นในบางตลาด บางกรณีแบรนด์อาจถอนตัวออกจากโครงการหากผู้พัฒนาไม่สามารถจัดหาทุนที่เพียงพอสำหรับการบริหารและบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และบางโครงการอาจเปลี่ยนการจัดการแม้กระทั่งก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์
อ่านเพิ่มเติม
อ้างอิงข้อมูลจาก Nikkei Asia
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล