บริษัทเอกชน คาดปี 61 ตลาดข้าวโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นจะขยายตัวสูงสุดแตะ 42.4 ล้านตัน แนะภาครัฐใช้เทคโนโลยีดูแลดิน-น้ำให้เพียงพอ หวังเพิ่มประสิทธิภาพผลิตเพื่อลดต้นทุนให้ชาวนา
วันที่ 29 พ.ค. นายเจอเรมี่ ซวิงเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะไรซ์ เทรดเดอร์ จำกัด เปิดเผยภายในงานประชุมข้าวนานาชาติ (Thailand Rice Convention 2017) ภายใต้หัวข้อ แนวโน้มการค้าข้าวโลก ว่าตลาดข้าวโลก อยู่ในช่วงขาขึ้น และราคาข้าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีกต่อเนื่อง จากปริมาณข้าวโลกค่อนข้างตึงตัวท่ามกลางความต้องการของผู้บริโภค ทำให้หลังจากนี้ข้าวไม่ได้อยู่ในภาวะล้นตลาดแล้ว ในส่วนของไทย สต๊อกข้าวลดลงไปมาก ทำให้แรงกดดันในเรื่องราคาข้าวไม่มี อีกทั้งผู้ซื้อยังมีความต้องการต่อเนื่อง ทั้งจีน แอฟริกา และฟิลิปปินส์
ตอนนี้ราคาข้าวขาวเวียดนาม ต่ำกว่าไทยตันละ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นราคาที่ถูกเกินไป แต่คาดว่าในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ ที่ซัพพลายลดลง ดีมานด์เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาข้าวขาวเพิ่มขึ้นได้อีกตันละ 20 เหรียญฯ ทำให้ตลาดกลายเป็นของผู้ขาย เป็นผู้กำหนดราคาได้ อุตสาหกรรมข้าวจะกลับเข้าสู่กลไกปกติ
นายอามิท กุลราชาณี รองประธานอาวุโส แผนกข้าว บริษัท โอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประจำสิงคโปร์ กล่าวถึงทิศทางตลาดข้าว และเกษตรปลอดภัยสู่โลกนวัตกรรม ว่าความท้าทายของตลาดข้าวหลังจากนี้ คือปริมาณการบริโภคสูงกว่าการผลิต ทั้งในเอเชีย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ที่บริโภคข้าวเป็นประจำ อีกทั้งจีนยังเป็นตลาดสำคัญที่ซื้อข้าวจากทั่วโลก รวมถึงแอฟริกา และตะวันออกกลางยังมีความต้องการข้าวเพิ่มขึ้น คาดว่าปีนี้ผลผลิตข้าวโลกอยู่ที่ 481.5 ล้านตัน การบริโภคโลกอยู่ที่ 478.7 ล้านตัน ขณะที่ปี 61 ผลผลิตจะลดลงเหลือ 481.3 ล้านตัน แต่การบริโภคเพิ่มเป็น 480.1 ล้านตัน ดังนั้น นโยบายของไทยถือว่าเดินมาถูกทางในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต่างๆ ให้ตอบสนองความต้องการในตลาดโลก
นายเคนเน็ท ชาน ประธานสมาคมผู้ค้าข้าวแห่งฮ่องกง กล่าวว่า ผู้ค้าข้าวรายใหญ่ของโลกยังเป็น ไทย อินเดีย และเวียดนาม ขณะที่ประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ในอนาคต คือ จีน ซึ่งไทยควรปรับตัวในการทำตลาดข้าวในจีน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เพราะต้องยอมรับว่าในขณะนี้ ข้าวขาวไทยในตลาดจีนมีการซื้อขายลดลง การทำตลาดพรีเมียมหรือตลาดข้าวหอมมะลิ จึงเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งไทยต้องปรับตัวทำตลาดจีนให้มากขึ้น ผ่านการขยายออกไปสู่ตลาดในเมืองอื่น นอกจากปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนตลาด นอกเหนือจากการพึ่งพาภาคส่งออกในเมืองใหญ่และฮ่องกง ที่ขณะนี้ไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 70% และคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 100% ในอนาคต
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยว่า ไทยต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้ได้กำไรสูงขึ้น โดยแนวทางการปรับตัวที่สำคัญ รัฐบาลต้องสนับสนุนการปลูกข้าวที่เพิ่มผลผลิต ดูแลเรื่องดินน้ำให้เพียงพอ โดยอาจจะต้องใช้เทคโนโลยี ใช้ดาวเทียมวัดพื้นที่ปลูก ปรับพื้นที่ตามปริมาณน้ำที่มี เพราะหากทำได้เช่นนี้ก็จะลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เพิ่มปริมาณผลผลิตอย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้งเรื่องนาแปลงใหญ่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องสนับสนุนต่อเนื่อง เพราะไทยเพิ่งเริ่ม แต่เวียดนามทำได้เป็นแสนไร่และเกิดประโยชน์ให้ผลผลิตอย่างชัดเจน.