“รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหน ที่ต้องทำตัวคิดบวกตลอดเวลา”
“พอเรายิ่งโตขึ้น ความสุขก็ยิ่งน้อยลง”
หากคุณได้อ่านประโยคข้างต้น ก็คงจะพอเดาออกว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ในที่นี้เรากำลังพูดถึง “Inside Out” มหัศจรรย์อารมณ์อลเอง ที่ถูกยกให้เป็นเดอะเบสของแอนิเมชันน้ำดีอีกเรื่องหนึ่ง
Inside Out ภาคแรกถูกฉายเมื่อปี 2558 โดยเป็นการนำเสนอเรื่องราวของสาวน้อย “ไรลีย์” วัย 11 ปี ที่ต้องผ่านการเผชิญกับสิ่งที่ท้าทายอารมณ์ความรู้สึกครั้งใหญ่ นั่นคือ การย้ายบ้านจนนำมาสู่การแสดงออกทางอารมณ์เป็นตัวละครต่างๆ นั่นคือความสุข (ลั้ลลา) ความเศร้า (เศร้าซึม) ความโกรธ (ฉุนเฉียว) ความกลัว (กลั๊วกลัว) และความขยะแขยง (หยะแหยง) โดยอารมณ์ทั้งหมดอาศัยอยู่ในศูนย์บัญชาการใหญ่ และอารมณ์แต่ละตัวจะเป็นผู้ผลัดเปลี่ยนกันมาควบคุมแผงควบคุมที่จะส่งผลต่อ “อารมณ์” ของไรลีย์นั่นเอง
จนกระทั่งในปี 2567 รวมระยะเวลาก็เกือบจะครบทศวรรษพอดิบพอดี ดิสนีย์และพิกซาร์กลับมาพร้อมกับเรื่องราวใน “Inside Out 2” เมื่อไรลีย์กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นวัยรุ่น ศูนย์สั่งการของเธอจึงต้องได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับอะไรบางอย่างที่คาดไม่ถึง นั่นก็คืออารมณ์ใหม่ๆ นั่นเอง! ไม่ว่าจะเป็น ว้าวุ่น, เขิ้นเขินอ๊ายอาย, อองวี, อิจฉา และ Nostalgia ถ้าตามข้อมูลทั่วไปคือ “ภาวะรู้สึกคิดถึงโหยหาอดีต” นั่นเอง
ดังนั้นถ้าหากพูดถึงในแง่มุมทางการตลาด “มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง” ทั้งหลายนี้ จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน และจะปั้นแบรนด์อย่างไรให้ให้โดนใจ “ลูกค้า” กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่ส่งออกมาจากศูนย์สั่งการ
ในครั้งนี้ #ThairathMoney จะพาไปถอดสูตร “Emotional Marketing” การตลาดที่เล่นกับอารมณ์ลูกค้า ทำยังไงให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้อย่างไม่มีวันลืม ผ่านการหยิบยกตัวละครจาก Inside Out มาเล่า
อารมณ์แรกคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ลั้นลา” หรือรู้จักกันในชื่อ Joy ที่แปลว่าความสุข ดังนั้นเมื่อลูกค้ามีอารมณ์นี้แบรนด์สามารถสร้างคอนเทนต์ สินค้า หรือบริการ ที่เมื่อผู้บริโภคได้พบเห็นแล้ว รู้สึกมีความสุข สร้างรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะ เพราะอย่าลืมว่าการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ได้ใช้ “เหตุผล” เพียงอย่างเดียว หลายครั้ง “อารมณ์” ก็มักอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วยเช่นกัน และเมื่อนั้นหากลูกค้าพึงพอใจ อาจจะนำมาซึ่งการบอกต่อในที่สุด
ต่อมาคือ ความกลัว (กลั๊วกลัว) เป็นหนึ่งในอารมณ์ด้านลบที่ใครก็อยากจะหลีกเลี่ยง ซึ่งกลยุทธ์การตลาดนี้อาจจะพุ่งเป้าที่ไปความเชื่อ สายมูเตลู หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น ปีชง แบรนด์สามารถนำเสนอวอลเปเปอร์เสริมดวง หรือพวงกุญแจเครื่องราง เพื่ออิงกับสถานการณ์และอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
และอีกหนึ่งอารมณ์ที่ดูเหมือนกับว่าจะมีอิทธิพลต่อแบรนด์มากที่สุดนั่นคือ “อิจฉา” ความโลภ อยากได้ อยากมี แน่นอนว่ากลยุทธ์ง่ายๆ ที่จะสนองนีดอารมณ์กลุ่มนี้ได้ก็คือ การนำเสนอสินค้าแรร์ไอเทมที่ยากจะครอบครอง การกระตุ้นด้วยส่วนลดต่างๆ เช่น ลด 50%, ซื้อ 1 แถม 1 หรือการใช้หมัดเด็ดโดยดึงอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ตรงจุดนี้เองจะทำให้เกิดความโหยหา และนำมาซึ่งการอยากได้ในที่สุด
สุดท้ายคือ Nostalgia ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกโหยหาอดีต ซึ่งการทำให้ลูกค้าอยากหวนกลับไปในช่วงเวลาดีๆ หรือความหลังที่มีคุณค่า นั้นจะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงอารมณ์ของลูกค้าได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างร้านของเรากับลูกค้า เช่น ขายเมนูย้อนวัยรับวันเด็ก ชวนให้ลูกค้าคิดถึงวัยเด็กที่เคยผ่านมา หรือแคมเปญชวนคุณแม่เข้าร้านในวันแม่เพื่อรับส่วนลด ก็ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้จะทำให้การเข้าถึงอารมณ์ และความรู้สึกของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อ การบอกต่อ และการจดจำได้เป็นอย่างดี เพราะในหลายๆ ครั้งลูกค้ามักจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ ดังนั้นหากแบรนด์นำกลยุทธ์นี้ไปใช้เล่นกับอารมณ์ของลูกค้า รับรองได้เลยว่านอกจากจะมีโอกาสได้รับออเดอร์เพิ่มขึ้นแล้ว ลูกค้ายังจะจำร้านได้อีกด้วย
อ้างอิง LINE MAN Wongnai , หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
ติดตามข้อมูลด้านการตลาด กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney