เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า สำหรับประเทศไทย ผู้ที่ได้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่า จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีอยู่ 2 เจ้าใหญ่ คือ “ไทยน้ำทิพย์” และ “หาดทิพย์” ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่ดูแลกันอย่างชัดเจน
โดย “ไทยน้ำทิพย์” ดูแลการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ในพื้นที่ 63 จังหวัด ครอบคลุม กรุงเทพฯ ภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก และ ตะวันตก ขณะ “หาดทิพย์” เป็นยักษ์ใหญ่ในโซนภาคใต้ 14 จังหวัดทั้งหมด ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม
โดยมีโรงงานการผลิต 2 แห่ง คือ โรงงานหาดใหญ่ จ.สงขลา และโรงงานพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
ล่าสุด หลังจากการท่องเที่ยวไทยฟื้นดี บวกกับผู้คนมีไลฟ์สไตล์นอกบ้านมากขึ้น ได้ผลักดันให้ธุรกิจของ หาดทิพย์ เติบโตอย่างน่าสนใจ พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC เผยว่า เมื่อปี 2566 บริษัทมียอดขายรวม 7,806 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดในรอบ 5 ปี และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 13.6% สูงกว่าช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 598 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ถึง 38.8%
ทั้งนี้ บริษัทฯ ประเมินว่ายอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นอานิสงส์มาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่มีการฟื้นตัวเร็วกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ
"ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึงกว่า 28 ล้านคน หรือเติบโตจากปี 2565 ถึง 154% ซึ่งถ้าดูจากสถิติการเข้าพักในโรงแรมและที่พักต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว จะพบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ภาคใต้สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการปรับราคาขายในบางขนาดในช่วงสิงหาคม 2565 และเมษายน 2566 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 6% และ 1.5% ตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์สร้างการเติบโตของรายได้ ผ่านการกำหนดขนาด รูปแบบผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่ายที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่องทางธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อที่มีการเติบโตของยอดขายสูงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
สำหรับในปี 2567 พลตรี พัชร มั่นใจว่าหาดทิพย์จะยังคงมียอดขายที่เติบโตขึ้นในอัตรา 6-8% เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ภาคใต้ยังคงมีแนวโน้มที่สดใส และจากแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่โดนใจผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ที่ในปี 2566 มียอดขายเติบโตถึง 31% และยังสามารถเติบโตขึ้นได้อีกมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของยอดขายทั้งหมดเท่านั้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนรวมอีกประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสายการผลิตของผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ชนิดขวดแก้ว ที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคาดว่าจะเปิดสายการผลิตได้ก่อนไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของยอดขายในช่องทางโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร ซึ่งบริษัทฯ มองว่านอกจากจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนบรรจุภัณฑ์ในระยะยาวแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ อีกด้วย
"เรามองว่าผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วชนิดคืนขวดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในช่องทางโรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคาร ซึ่งมีความเหมาะสมกับบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ เนื่องจากผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มของเราภายในร้าน และเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เรามีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่ง"
สำหรับในระยะยาวนั้น พลตรี พัชร กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นในการยืนหยัดเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ โดยตั้งเป้าหมายมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท และมีมูลค่าส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 35% ภายในปี 2575
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney