ขอยืนหนึ่งให้คนไทยใช้น้ำมันไม่แพง ปีหน้า “โออาร์” ทุ่มงบ 2 หมื่นล้านลุยลงทุน

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ เปิดเผยว่า โออาร์ได้ยึดนโยบายรัฐ ในการดูแลค่าการตลาด (กำไร) เฉลี่ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมประมาณลิตรละ 2 บาท มาต่อเนื่อง เห็นได้จากผลการดำเนินงานของโออาร์ 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) มียอดขาย 600,000 ล้านบาท มีกำไร 10,901 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ขณะที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ มีกำไรถึง 25-30% ซึ่งโออาร์ต้องรักษาแชมป์ผู้ค้าน้ำมันเบอร์ 1 ไว้ เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันให้กับประเทศ พร้อมดูแลผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบ ขณะเดียวกัน โครงสร้างราคาน้ำมัน จะพบว่ามีอัตราจัดเก็บภาษีต่างๆคิดเป็นสัดส่วน 30%, การประกาศราคาน้ำมันอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ มีสัดส่วนเพียง 60% และค่าการตลาด สัดส่วนคิดเป็น 5-6% เท่านั้น

“ถ้าโออาร์มีสัดส่วนกำไรเกิน 7% ก็น่าสงสัยว่า กินค่าการตลาดเยอะหรือไม่ แต่นี่มีกำไรบางมากไม่ถึง 2% หรือถ้ามองในส่วนค่าการตลาด ของโออาร์ก็ไม่เกินลิตรละ 2 บาท และต้องแบ่งเป็นในส่วนของดีลเลอร์ (ผู้แทนจำหน่าย) ประมาณลิตรละ 1 บาท และอีกประมาณลิตรละ 1 บาทเป็นค่าบริหารจัดการของโออาร์ และเก็บไว้ลงทุน ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครอยากทำธุรกิจที่มีกำไรไม่ถึง 2% ทั้งนี้ โออาร์พร้อมให้ภาครัฐตรวจสอบข้อมูล ยืนยันว่าโออาร์ไม่บิดเบือนข้อมูลเพราะเป็นองค์กรที่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐ”

นายดิษทัตกล่าวต่อว่า ในปีหน้าโออาร์ได้เตรียมพร้อมเก็บสำรองน้ำมันตามมาตรฐานยุโรป ระดับ 5 หรือยูโร 5 ที่ภาครัฐกำหนดนโยบายให้น้ำมันที่จำหน่ายในประเทศไทยต้องขยับจากมาตรฐานยูโร 4 เป็นยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67 ซึ่งจะทำให้เนื้อน้ำมันที่จำหน่ายมีปริมาณกำมะถันลดลงมาใกล้เคียงมาตรฐานยุโรป จาก 50 พีพีเอ็ม เหลือ 10 พีพีเอ็ม และโรงกลั่นน้ำมันในกลุ่ม ปตท. ถือว่ามีสัดส่วนกำลังการผลิตน้ำมันในปริมาณมากของประเทศที่จะได้มีส่วนร่วมดูแลลดปัญหามลพิษลง

นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินธุรกิจโออาร์ ในปีหน้าคาดว่าจะเป็นปีที่ดีมากของธุรกิจโออาร์และมองว่ายอดขายน้ำมันยังเติบโตสอดรับกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่งบลงทุนปีหน้าได้ตั้งเป้าไว้ 20,000 ล้านบาท จากงบประมาณ 5 ปี ที่วางไว้ 67,000 ล้านบาท ล่าสุด ในเร็วๆนี้ โออาร์จะมีข่าวดีคือ การร่วมลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ร่วมกับบริษัท เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพื่อผลักดันการลงทุนธุรกิจด้านสุขภาพ และความงาม คาดว่าจะเห็นการลงทุนเริ่มได้ในไตรมาสแรกปีหน้า.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่