ข่าวการพลิกโฉม ย่านบางกะปิ และบางแค ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นการทุ่มงบลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อที่จะปั้นเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค และ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ที่ถือเป็นย่านที่มีศักยภาพการเติบโตดีที่สุดของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก และกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก
พร้อมทั้งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นย่านธุรกิจการค้าและย่านที่พักอาศัยที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยมีการเชื่อมโยงด้วยโครงข่ายคมนาคมหลักของกรุงเทพมหานครอย่างครบครัน ทั้งทางบก ทางเรือ และที่สำคัญคือระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมข่าวการประกาศสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่นี้ จึงเป็นที่กล่าวขานของผู้คน
วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า โครงการเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค จะเป็น ‘มหานคร’ แห่งใหม่ ที่เป็นศูนย์กลางความมหัศจรรย์แห่งการใช้ชีวิต ที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก บนทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสำคัญ โดยทั้ง 2 โครงการ ที่มีพื้นที่รวมกว่า 700,000 ตารางเมตร (บางกะปิ 350,000 ตารางเมตร, บางแค 350,000 ตารางเมตร) จะช่วยสร้างปรากฏการณ์ของอาณาจักรศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่ ครบวงจร
ซึ่งเงินลงทุนปรับปรุงสาขาบางกะปิและบางแครวมกัน 30,000 ล้านบาท เพื่อที่จะพลิกโฉมบางกะปิให้กลายเป็น “สยามแห่งตะวันออก” สอดรับกับความเจริญในย่านลาดพร้าว บางกะปิ ทั้งด้านคมนาคมรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สีน้ำตาล และสีส้ม มีท่าเรือคลองแสนแสบ รวมทั้งใกล้กับแอร์พอร์ตลิงก์ ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นจำนวนมาก รวมทั้งแหล่งการค้าที่ต่างทยอยปรับโฉมสู่รูปแบบใหม่กันอย่างคับคั่ง
ทั้งนี้ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ จะเปิดให้บริการในวันที่ 8 ธ.ค. 66 เต็มรูปแบบ 99% หลังทยอยปรับปรุงให้เป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่กลางปี 65 จะมีจุดเด่นด้านความเป็นศูนย์รวมของแบรนด์ญี่ปุ่น ที่ไม่ต้องบิน ก็ช็อปฟินได้ กับการรวมตัวของเมกะแบรนด์ยกทัพแบรนด์ดัง มาจากประเทศญี่ปุ่น
จำนวนมาก ทั้ง Uniqlo, MUJI Coffee Corner ที่จะมีคาเฟ่มูจิขนาดใหญ่ รวมทั้ง DON DON DONKI, Nitori แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากญี่ปุ่น, และการจัดงานอีเวนต์ญี่ปุ่น ดังนั้นรวมๆ แล้ว จะมีร้านสไตล์ญี่ปุ่นกว่า 25% เนื่องจากมองว่าคนไทยชอบความเป็นญี่ปุ่น และทุกครั้งที่มีการจัดงานเกี่ยวกับญี่ปุ่นจะดึงลูกค้าเข้ามามากขึ้นถึง 20% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารกว่า 100 ร้านค้า โดยเฉพาะคาเฟ่เต่าบิน ในรูปแบบที่มีที่นั่ง ที่จะเปิดให้บริการที่นี่ที่แรก อีกทั้งสินค้าสปอร์ตแฟชั่นเพิ่มขึ้น 20% อาทิ มวยไทย บาสเกตบอล ฟุตบอล รวมทั้งสินค้าด้านความงาม แฟชั่นกว่า 2,000 แบรนด์ ขณะเดียวกันยังมีโรงภาพยนตร์ 16 ขนาดใหญ่อลังการด้วยแสงสีแสง พร้อมด้วยโรงหนังสำหรับเด็ก และยังมี HarborLand สนามเด็กเล่นในร่มและสวนน้ำกลางแจ้งลอยฟ้าครั้งแรกของฮาร์เบอร์แลนด์ที่จะมาแทนที่สวนน้ำเดิมของเดอะมอลล์
รวมทั้งยัง ได้เพิ่ม Key Anchor ที่มีศักยภาพมาเป็นศูนย์รวมทุกความบันเทิงที่ใส่ใจทุก Gen ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยบริการครบครัน อาทิ FITNESS FIRST, JOYLIDAY และอื่นๆ อีกมากมาย และทั้งสองห้างยังรองรับ Pet Parents ที่สามารถพาน้องๆ สัตว์เลี้ยงเดินเที่ยวได้ทั่วบริเวณ ดังนั้นภายใต้การดำเนินงานของเดอะมอลล์ กรุ๊ปในครั้งนี้ นอกจากจะรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิมแล้วนั้น ยังขยายไปสู่การจับกลุ่มลูกค้า ระดับบนที่มีรายได้สูง และกลุ่มอายุ 20-35 ปี ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน อีกด้วยเช่นกัน
ส่วนเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค ย่านเพชรเกษม-บางแค ทำเลสำคัญฝั่งตะวันตก จะเปิดให้บริการช่วงต้นปี 2567 โดยที่ทั้งหมดปรับปรุงภายใต้คอนเซปต์ A Happy Place to Live Life ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว ทั้งนี้ทั้งสองสาขาคาดว่าจะสามารถเพิ่มทราฟฟิกได้ประมาณ 50 ล้านคนต่อปี โดยแบ่งเป็นสาขาบางกะปิสาขาเดียวประมาณ 25-30 ล้านคน
วรลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ มีการวางงบการตลาดไว้ราวๆ 1,000 ล้านบาท สำหรับจัดอีเวนต์ อัดแคมเปญ โปรโมชัน และการตกแต่งศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ให้เป็นบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทั้งนี้สถานการณ์ค้าปลีกปีนี้ วรลักษณ์ มองว่า ปรับตัวดีขึ้นจากกำลังซื้อที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจไทย การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ดังนั้นการลงทุนเมกะโปรเจกต์จะช่วยเพิ่มการจ้างงานและปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ-บางแค” อาจจะกลายมาเป็น “มหานครแห่งใหม่” ที่จะปลุกกำลังซื้อ สร้างบรรยากาศให้ย่านการค้าทุกมุมเมือง จนกลายเป็น แหล่งดึงดูดทางเศรษฐกิจของประเทศอีกแห่งเลยก็ว่าได้