เรียกได้ว่าสร้างเสียงฮือฮา สะเทือนวงการค้าส่งกันไปแล้วเมื่อ “เซ็นทรัล” ยักษ์ค้าปลีกของไทย ได้ผงาดเร่งเครื่อง ประกาศเปิดตัวผู้เล่นน้องใหม่ในมืออย่าง “Go Wholesale” (โก โฮลเซลล์) ศูนย์ค้าส่งสินค้าเพื่อผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้าปลีกรายย่อย เมื่อ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เพื่อท้าชน “แม็คโคร” ผู้นำธุรกิจค้าส่ง พร้อมดึงอดีตแม่ทัพใหญ่อย่าง “สุชาดา อิทธิจารุกุล” มานั่งคุมประธานธุรกิจใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล
และในวันนี้ถือเป็นปฐมฤกษ์การพลิกหน้าประวัติศาสตร์ค้าส่งเมืองไทย ที่จะไม่ได้มีผู้เล่นเพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป โดยเซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ได้เปิด GO Wholesale (โก โฮลเซลล์) สาขาศรีนครินทร์ แห่งแรกอย่างเป็นทางการที่โอบล้อมไปด้วยคู่แข่งรายน้อยใหญ่ บนพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร ที่ในครั้งนี้ใช้งบประมาณ 375 ล้านบาท เพื่อปั้นจุดหมายใหม่ศูนย์ค้าส่งสินค้าเพื่อผู้ประกอบการ แหล่งรวมวัตถุดิบอาหารขนาดใหญ่ จากทุกมุมโลกกว่า 20,000 รายการ ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับน้องใหม่กับการประชันเปิดโฉมใหม่ของ “แม็คโคร” ในวันเดียวกันด้วยเช่นกัน
สุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือ CRC กล่าวว่า GO Wholesale เป็นศูนย์ค้าส่งสินค้าระบบสมาชิก ในราคาขายส่ง เพื่อผู้ประกอบการ แบรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่จะพลิกโฉมวงการธุรกิจค้าส่ง สร้างทางเลือกใหม่ ให้กับลูกค้าผู้ประกอบการทั้ง กลุ่มโฮเรก้า (โรงแรม, ร้านอาหาร, ธุรกิจจัดเลี้ยง) ผู้ให้บริการอาหารในโรงงาน โรงพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ร้านค้าปลีก ร้านโชห่วย ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่าง ซึ่งเราได้ทำการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการ และนำมาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งโดยทีมงานที่เชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่ง จนได้รูปแบบของสาขาและบริการที่แปลกใหม่ จำนวนสินค้าที่มีความหลากหลายตอบโจทย์ผู้ประกอบการ เพิ่มความสะดวกด้วยบริการชำระเงินในทุกช่องทาง และต่อยอดระบบสมาชิกที่แข็งแกร่ง ด้วยลอยัลตี้โปรแกรมที่มีสิทธิประโยชน์มากมาย ซึ่งเชื่อมต่อกับลอยัลตี้แพลตฟอร์ม The1 ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ปด้วย
โดยที่เบื้องต้นได้มีการวางเป้าหมายในช่วงแรกจะมีสมาชิกราว 20,000 คน/สาขา แบ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่ และต่อมาคือร้านโชห่วย และลูกค้าทั่วไป ทั้งนี้เมื่อมีการแข่งขันก็ย่อมนำมาซึ่งความดุเดือดซึ่ง 20,000 รายที่เป็นฐานลูกค้า จะมีส่วนที่มาจากคู่แข่งด้วยเช่นกัน
และหากว่ากันตามตรงข้อได้เปรียบ และจุดแข็ง ของ “โก โฮเซลล์” ที่จะน็อกคู่แข่งและทัชใจลูกค้าได้นั้น คือ การบริการ สินค้าหลากหลาย และการชำระเงินที่สะดวก ส่วนแผนอีก 5 ปีข้างหน้า ยังคงเป็นเช่นเดิมโดย “GO Wholesale” วางเป้าหมายที่จะต้องมีจำนวนสาขามากกว่า 40-50 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราการเปิดให้บริการเฉลี่ย 1 สาขาต่อเดือน ภายใต้งบลงทุน 20,000 ล้านบาท
โดยที่จะต้องมีห้างค้าส่งไซต์ขนาด 7,000 ตารางเมตร อย่างน้อย 1 จังหวัด ต่อ 1 ร้าน ส่วนในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เชื่อว่าจะมีได้อีกหลายสาขา ซึ่งได้มีการวางแผนไว้แล้ว และมีพื้นที่เรียบร้อย แต่เบื้องต้นจะเน้นสาขาแรกให้ปัง และจะทยอยเปิดสาขาถัดมา คือ สาขาที่ 2 ที่เชียงใหม่ และในเดือนธันวาคม คือ พัทยา และอมตะนคร ซึ่งเป้าหมายจะเป็นจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนการลงทุนในสาขาอื่นๆ อาจจะใช้งบประมาณเดียวกันแต่ขึ้นอยู่กับราคาที่ดิน
“เราเริ่มทำโกโฮเซลล์จริงจังเมื่อประมาณช่วงเดือนกันยายน 2565 จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2566 เราสามารถเปิดได้ 1 สาขา ดังนั้นเราจึงมองว่าตลาดมันใหญ่พอ เพราะมูลค่าตลาดร้านอาหารกว่า 2.6 ล้านบาท ถือได้ว่าเป็นช่องทางที่จะสามารถสร้างรายได้ พร้อมกับขยายการเติบโตได้เป็นอย่างดี และตรงจุดนี้เองควรมีผู้เล่นได้มากกว่า 1 ราย ดังนั้นจะเกิดประโยชน์กับทั้งผู้ผลิต ผู้ซื้อ โดยที่ไม่ต้องยึดติดกับรายใดรายหนึ่งที่จะเป็นการผูกขาดทางการค้า เนื่องจากเราต้องการที่จะให้ลูกค้ามีทางเลือก ดังนั้นโก โฮลเซลล์ จึงถือเป็น “The new choice for all ที่จะให้อะไรกับลูกค้าได้มากกว่าสิ่งที่เคยมี”
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งจุดที่ทำให้โกโฮเซลล์แตกต่างจากคู่แข่งคือ การชำระเงิน ที่สามารถทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตที่ไม่จำกัดเพียงธนาคารรายเดียว และทุกรูปแบบ ส่วนลูกค้าใหญ่ที่เป็นเชนหลายสาขา ในอนาคตอาจจะมีการทำ Credit term คือ การนำวัตถุดิบเหล่านั้นไปใช้ก่อนแล้วค่อยนำเงินมาจ่ายทีหลัง เพื่อความสะดวกในการซื้อสินค้า ทั้งนี้ในส่วนของ break even หรือมีรายได้เท่ากับรายจ่ายในระยะเวลาประมาณ 2 ปี หลังเปิดดำเนินการ และจะคืนทุนได้ในประมาณ 3-4 ปี
สุชาดา มองว่า “ด้านการเงินมีส่วนกลาง CRC ดูแล ทางกลุ่มของโก โฮเซลล์ มีหน้าที่ทำสโตร์ให้ดี ให้ลูกค้าชอบ และขายดี ดังนั้นจะต้องมีการทำ Feasibility Study หรือศึกษาความเป็นไปได้ วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน แม้จะไม่ได้จับเรื่องเงินเอง แต่ก็รู้ดีว่าควรจะไปทางไหน รับผิดชอบตรงส่วนไหนบ้าง เพราะประสบการณ์จะสอนเราเอง ขณะที่กำลังซื้อในช่วงปลายปีมองว่า ต่อให้ไม่มีเงินคนก็ใช้เงิน เพราะบรรยากาศเอื้อซึ่งไม่เป็นลบอย่างแน่นอน”
ไม่ว่าจะเป็น แหล่งรวมอาหารสดขนาดใหญ่ เสมือนยกทะเล และสวนผักสวนผลไม้มาไว้ที่นี่ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40%, บริการตัดแต่งสินค้าตามความต้องการใช้งานที่แผนกเนื้อ อาหารทะเล (ปลา) ผัก โดยมีระบบคิวคอยแจ้งเตือน เมื่อดำเนินการเรียบร้อย, บริการบ่มเนื้อ Dry Age เสริมรสชาติให้เนื้อมีความเข้มข้น สามารถซื้อแล้วฝากบ่มไว้ตามระยะเวลาที่ต้องการได้, ศูนย์รวมของวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเอสเอ็มอีชื่อดังจากทุกพื้นที่ทั่วไทย อาทิ เครื่องแกงจาก 4 ภาค, Beverage Solution มุมให้คำปรึกษากับผู้ที่ต้องการเริ่มต้น ต่อยอด หรือพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม, สินค้าที่เกี่ยวกับธุรกิจเดลิเวอรี ธุรกิจออนไลน์ ศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เช่น เช่าอุปกรณ์ในครัว ลดปัญหาเรื่องเงินลงทุนและเพิ่มเงินหมุนเวียน ฯลฯ, ห้องเวิร์กช็อป
“เราต้องการเป็นศูนย์ค้าส่งสินค้า ที่สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายให้ผู้ประกอบการทุกคนได้ค้นพบสูตรแห่งความสำเร็จ ที่เป็นทางเลือกใหม่ในการทำธุรกิจให้แตกต่าง พร้อมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยเสริมศักยภาพให้ทุกธุรกิจก้าวไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปด้วยกัน ผ่านการส่งมอบประสบการณ์ใหม่ในระบบสมาชิกที่มีสิทธิประโยชน์มากมาย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจใดๆ ก็ตาม รวมทั้งมีแบรนด์สินค้าของโก โฮเซลล์ ทั้ง A choice, หมูมาเฟีย, บิงโก, Zip, Value pack, Super save ฯลฯ”
ทั้งนี้หากมองในมุมของ Go Wholesale ที่ถือเป็นน้องใหม่ในสมรภูมินี้ การเลือกที่จะเปิดศูนย์ค้าส่งฯ ก็เพราะ มีพื้นที่อยู่แล้ว บวกกับพื้นที่ดังกล่าวผู้บริโภคมีกำลังซื้อ มีผู้ประกอบการเยอะประมาณนึง เห็นได้จากพื้นที่ศรีนครินทร์ บางพลี สมุทรปราการ มีโรงงาน สำนักงาน บ้านเรือนจำนวนมาก รวมทั้งตลาดอาหารในพื้นที่สมุทรปราการมีมูลค่ากว่า แสนล้านบาท ถือเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร รวมทั้งมีประชากรกว่า 1.4 ล้านคน 7 แสนครัวเรือน นั่นจึงทำให้สมุทรปราการเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการเติบโตธุรกิจ ซึ่งจะแข่งขันได้สบายและเข้าถึงกำลังซื้อที่เป็น mass ได้มากขึ้น เห็นได้จากการที่มีแบรนด์คู่แข่งเปิดในละแวกใกล้เคียงเช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงถือได้ว่าเป็นการช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะต้องอาศัยสรรพกำลังที่มี และกลยุทธ์หมัดเด็ดที่จะทำให้ตนเอง “น็อกเอาต์” คู่แข่งได้
ดังนั้นเมื่อ “ยักษ์ ชน ยักษ์” จึงถือได้ว่าสมรภูมินี้ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะกลายเป็นว่าการที่เซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านค้าปลีก กระโดดลงมาเล่นในตลาดนี้ก็เรียกได้ว่า สมน้ำสมเนื้อไม่น้อย ด้วยฐานลูกค้าที่มี ประกอบกับบริษัทในเครือที่แข็งแกร่ง และการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ว่า “ความต้องการ” ที่แท้จริงคืออะไร นั่นจึงกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เซ็นทรัลกล้าที่จะย่างกรายเข้ามา ท้าประชันกับเจ้าตลาดที่อยู่ก่อนหน้านี้ได้
และเมื่อการแข่งขันมันรุนแรง ก็ย่อมนำมาซึ่ง “คุณภาพ” และ “การบริการ” ที่ดีขึ้นที่ต่างแบรนด์ต่างพัฒนาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองชนะคู่แข่งขัน ในยุคที่ต้องช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภค และเมื่อนั้นเองผู้ที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่คนอื่นไกลแต่ก็คือ “ลูกค้า” นั่นเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องตระหนักคือ “การสร้างแบรนด์” ที่จะต้องมาจากการสร้างความประทับใจ และต้องทัชใจ ทั้งตัวของผู้บริโภค และซัพพลายเออร์ด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม “โก โฮเซลล์” ถึงให้ความสำคัญกับทุกๆ ฝ่ายที่ถือเป็น “Stakeholders” หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั่นเอง
โดยศูนย์ค้าส่ง “GO Wholesale ศรีนครินทร์” เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.