“ดมตะ” บาริสต้าเสิร์ฟกลิ่น เปิดประสบการณ์ เสพกาแฟผ่านการดม

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“ดมตะ” บาริสต้าเสิร์ฟกลิ่น เปิดประสบการณ์ เสพกาแฟผ่านการดม

Date Time: 10 ก.ย. 2566 12:00 น.

Video

บิทคอยน์ VS เงินในกระเป๋าเกี่ยวกันยังไง ? | Digital Frontiers

Summary

  • “เปิดหนังสือเรียนทีไร เป็นต้องง่วงนอนทุกที” แน่นอนว่าหลายๆ คนก็คงจะเป็นเหมือนกัน ดังนั้นหากได้กาแฟ หรือชาสักแก้วก็คงจะดีไม่น้อย แต่จะทำอย่างไร ถ้าไม่สามารถนำเครื่องดื่มเข้ามาในห้องเรียนได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงจุดประกายให้ เพชร - ธนเชษฐ์ กองสิงห์ มีแนวคิดที่จะพัฒนาโปรดักต์เพื่อตอบโจทย์ “ความง่วง” ดังกล่าว

Latest


จนกลายเป็นไอเดีย ยาดมกลิ่นกาแฟ ที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการดื่ม สดชื่น ตื่นตัว แบบไร้คาเฟอีน ไม่ใจสั่น ภายใต้ชื่อ ‘ดมตะ’

จากไอเดียที่คิดได้ตอนง่วงนอน

เมื่อได้ไอเดีย เพชรจึงนำไอเดียนี้ไปพูดคุยกับอาจารย์ เพื่อที่จะทำเป็นโปรเจกต์ จะทำเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์จบการศึกษา แต่อาจารย์ให้คำแนะนำว่าโปรเจกต์นี้อาจจะใช้ระยะเวลานาน และค่อนข้างเป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ เขาจึงพับโปรเจกต์ไป 

จนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่โควิดกำลังแพร่ระบาดพอดี ทำให้เขาหางานประจำได้ยาก จึงมีแนวคิดที่จะนำทำโปรเจกต์ ‘ดมตะ’ มาปัดฝุ่น 

โดยเริ่มจากการหาข้อมูลงานวิจัยว่าในกาแฟมีอะไรที่จะช่วยให้สดชื่นและตื่นตัวได้โดยไม่ต้องดื่มนำคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย พร้อมทั้งยังได้เดินหน้า Pitching เพื่อชิงเงินทุนสนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ จำนวน 100,000 บาท ภายใต้โครงการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneurial Ecosystem Development) ของทางมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจผลปรากฏว่าสามารถคว้าเงินรางวัลมาครอบครองได้ในที่สุด

เสพกลิ่นความเจริญ 

และเมื่อได้เงินทุนมา เพชรจึงนำไปใช้ในการทดสอบเพื่อให้ได้มาซึ่ง Essential Oils จากกาแฟซึ่งวิธี สกัดน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดกาแฟ ถือเป็นเรื่องที่ยาก จนมาพบกับทางอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้รู้การสกัดด้วยวิธี Super Critical CO2 จากนั้นจึงได้จับมือกับทางอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในเรื่องของการทำอุตสาหกรรมตรงนี้ เนื่องจากมีโรงงานต้นแบบจึงได้สกัดน้ำมันหอมระเหยจากกาแฟ และตรงนี้เองได้กลายเป็นจุดกำเนิด “ดมตะ” ขึ้นมาโดยใช้ระยะเวลาในการพัฒนารวมกว่า 3 ปี แต่มีสินค้าที่จำหน่ายจริงจังเมื่อปีที่ผ่านมา (2565) และออกตลาดที่งาน Thailand Coffee Fest เป็นงานแรก 

ส่วนโปรดักต์หลักๆ ของดมตะจะแบ่งออกเป็น 

1. กาแฟแบบดม

2. ถุงหอมไล่ความง่วง (เป็นการนำกากกาแฟ หรือ Waste ที่ได้จากการสกัดน้ำมันหอมระเหยมาเพิ่มมูลค่า เพราะกากกาแฟของดมตะจะต่างจากกากกาแฟในร้านทั่วไป ที่สกัดผ่านน้ำ แต่ของดมตะเป็นการสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้กากกาแฟไม่มีความชื้น เก็บได้นาน ไม่ขึ้นรา ส่วนคอนเซปต์มาจากตุ๊กตาไล่ฝนของญี่ปุ่น ที่แขวนตามชายคาบ้าน) 

3. ตะเกียงน้ำมันหอมระเหย 

4. ยาดมกลิ่นชา 


เสิร์ฟกลิ่นกาแฟ ที่ปราศจากคาเฟอีน

“การคัดสรรกาแฟที่นำมาสกัดจะเป็นการเลือกจากฟีดแบ็กของลูกค้าว่าชอบกลิ่นประมาณไหน และเลือกจากไร่ที่ได้รับ Speciality Coffee Rank 3 จากนั้นนำเมล็ดกาแฟของไร่มาสกัด เพราะมองว่ากลิ่นจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี” เพชร กล่าว

ส่วนที่ว่าไม่ได้มีแค่ “กาแฟ” เนื่องจากลูกค้า อยากจะได้ตัวที่ช่วยเรื่องความผ่อนคลาย ดังนั้นด้วยประโยชน์ของชาจะช่วยเรื่องผ่อนคลาย จึงนำมาเบลนโดยเป็นกลิ่นชาข้าวหอม ที่เบลนกับกลิ่นชามะลิ จึงนับเป็นโปรดักต์ที่โดดเด่นอีกหนึ่งอย่างของแบรนด์

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ดมตะ” ชื่อที่มาจากภาษาใต้ที่มีความหมายว่าลองดมสิ เปรียบเสมือนกับ ‘บาริสต้าผู้เสิร์ฟกลิ่น’ นั่นเอง โดยจุดยืนคือต้องการให้มีอารมณ์เสมือนกับบาริสต้าในการเสิร์ฟกาแฟ ที่เป็นกลิ่น

สำหรับผลิตภัณฑ์อายุการใช้งานหากเป็นยาดมกาแฟ หากยังไม่ได้ใช้งานจะเก็บได้ประมาณ 3 เดือน แต่หากมีการเปิดใช้งานการเก็บรักษาจะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ส่วนถุงหอมจะอยู่ได้ประมาณ 3 อาทิตย์ ส่วนกลิ่นชาจะอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน

ทั้งนี้ ทางฝั่งของกลุ่มเป้าหมายของดมตะจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับคาเฟอีนเอฟเฟกต์ คือ ดื่มกาแฟไม่ได้ ดื่มแล้วใจสั่น หรือทานกาแฟแล้วยังรู้สึกง่วง 2. กลุ่มคนที่ชื่นชอบกลิ่นกาแฟ ชา โดยที่กลุ่มที่ชื่นชอบกลิ่นกาแฟจะมีสัดส่วนมากกว่า แต่กลุ่มที่ซื้อสินค้าซ้ำจะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับคาเฟอีนเอฟเฟกต์ 

“ทั้งนี้ เบื้องต้นในกลุ่มคาเฟอีนเอฟเฟกต์มีหลายระดับมาก หากรวมกันสำหรับคนที่ทานกาแฟทุกวัน 40% คือคนที่ติดกาแฟแล้วก็จะมีอาการหากไม่ดื่มกาแฟ และจากการสำรวจตลาด ผ่านการทำแบบทดสอบกับผู้ที่เข้าร่วมจำนวน 400 คน พบว่า 70% ชอบกลิ่นกาแฟ มากพอๆ กับรสชาติ”

โดยที่ “ดมตะ” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบเลย และตัวโปรดักต์เพชรพยายามที่จะทำให้เป็น Eco ทั้งหมด โดยใช้เป็นกระดาษคราฟต์ทางเลือก นำมาขึ้นรูปให้เป็นทรงกระบอก ซึ่งสามารถลดการใช้พลาสติกได้เกือบ 90% 

สตาร์ทอัพไทย ที่เน้นความเป็น Eco

ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายจะขายผ่านทางออนไลน์เป็นหลัก ส่วนออฟไลน์จะเป็นการออกบูธตามงานต่างๆ ด้านการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์หลักๆ จะมาจากการออกบูธ หรือแข่งตามงานต่างๆ บวกกับการยิง Ads ช่องทางออนไลน์

ส่วนจุดหมายปลายทางหลักๆ เพชรยังมองไปที่ตลาด B2B ด้วย เพราะปัจจุบันในเรื่องของ “กลิ่นกาแฟ” ส่วนใหญ่ยังเป็นกลิ่นกาแฟสังเคราะห์ จึงมองว่าอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้กลิ่นกาแฟสังเคราะห์จะเป็นกลิ่นแต่งที่มีสารเคมี ดังนั้นหากรับประทานเป็นระยะเวลานานจะไม่ดีต่อสุขภาพ จึงอยากจะตีตลาดไปตรงจุดนี้ โดยเป็นการนำเสนอ Essential Oils จากกาแฟแท้ๆ โดยที่ใน “ดมตะ” กลิ่นกาแฟใน 1 ขวด มีความเข้มข้นเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 30 แก้ว ซึ่งสามารถทดแทนได้เลย ซึ่งปัจจุบัน 1 อาทิตย์ ดมตะสามารถผลิตโปรดักต์ได้ประมาณ 400 ชิ้น 

เพชรยังมองว่า ตลาดกาแฟของไทยยังมีช่องทางที่จะไปได้อีกมาก ซึ่งในปัจจุบันเกษตรกรไทยพยายามที่จะผลิตเมล็ดกาแฟเพิ่มกันอย่างต่อเนื่อง บวกกับภาพรวมตลาดกาแฟก็ค่อนข้างเติบโตขึ้นทุกปี ตามกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้น จึงมองว่า “กาแฟ” ของไทยจะสามารถเพิ่มมูลค่าได้อีกมาก และยังคงเพียงพอ ดังนั้นในอนาคตจึงมองไปถึงเรื่องของ “Waste” ที่เป็นในส่วนของเมล็ดกาแฟที่ถูกคัดทิ้งที่จะนำมาสกัดกลิ่นได้อีกหรือไม่ และจะต่อยอดอะไรได้อีกบ้างนับเป็นแผนดำเนินการในอนาคตที่วางไว้ในลำดับถัดไปของ “เพชร” และ "ดมตะ" นั่นเอง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ