อุบัติเหตุทางการตลาดของ น้ำแร่ "ซิกตี้ ดีกรี"

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

อุบัติเหตุทางการตลาดของ น้ำแร่ "ซิกตี้ ดีกรี"

Date Time: 26 ส.ค. 2566 05:10 น.

Summary

  • กรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจของตลาดน้ำแร่ในประเทศไทยมูลค่า 4,000 ล้านบาท ที่ตอนนี้มีแบรนด์น้องใหม่ที่ไม่ธรรมดาที่ควักเงินลงทุนถึง 1,000 ล้านบาท กับเป้าหมายผงาดเป็นหนึ่งในสามบิ๊กแบรนด์ให้ได้ภายใน 3 ปี และคืนทุนภายใน 5 ปี

Latest

รอบรั้วการตลาด : บลจ.กรุงศรี ส่ง 4 กองทุน RMF รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

กรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจของตลาดน้ำแร่ในประเทศไทยมูลค่า 4,000 ล้านบาท ที่ตอนนี้มีแบรนด์น้องใหม่ที่ไม่ธรรมดาที่ควักเงินลงทุนถึง 1,000 ล้านบาท กับเป้าหมายผงาดเป็นหนึ่งในสามบิ๊กแบรนด์ให้ได้ภายใน 3 ปี และคืนทุนภายใน 5 ปี

แบรนด์ ซิกตี้ ดีกรี (6ty Degrees) น้ำแร่ธรรมชาติ 100% โดยบริษัทแร่เบฟเวอเรจ จำกัด ที่ผลิตจากแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดินที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส กับความลึกกว่า 200 เมตร อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ นับเป็นอุบัติเหตุของแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากก่อนหน้านี้ทางเจ้าของเตรียมลงทุนในกิจการออนเซน พร้อมรีสอร์ตโรงแรมแต่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการลงทุนนี้ต้องชะงักไป

นางสาวรีน่า อุดมคุณธรรม ผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นทายาทของสุดยอดตำนานนักการตลาดชื่อดัง “มานิต อุดมคุณธรรม” ผู้ก่อตั้งศูนย์การค้าโรบินสันที่ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร โฮมโปร ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ได้ให้ข้อมูลว่า ตลาดน้ำดื่มในไทยมีการแข่งขันสูงมาก ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ แต่กลับพบว่าที่ดินที่ซื้อมาเป็นแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่มีคุณภาพสูงและไม่มีกลิ่นกำมะถัน

จึงตัดสินใจทดลองส่งตัวอย่างไปยังสถาบันตรวจสอบคุณภาพ 3 ประเทศ คือ สถาบัน SGS ประเทศออสเตรเลีย, INTERTEK ประเทศอังกฤษ และ ALS ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏว่าผลการทดสอบจาก 3 สถาบันพบว่ามีคุณภาพทัดเทียมกับแบรนด์ดังจากต่างประเทศและอุดมไปด้วยแร่ธาตุกว่า 16 ชนิด ที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย.

“คุณพ่อมองว่าจากแหล่งน้ำพุร้อนชั้นดีมีคุณภาพนี้ทำไมไม่ส่งต่อไปยังผู้บริโภคคนไทยได้บริโภคน้ำแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะคนไทยปกติซื้อน้ำดื่มบริโภคอยู่แล้วไม่ได้ดื่มจากก๊อกน้ำเหมือนในต่างประเทศ จึงตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจนี้” นางสาวรีน่ากล่าว

แบรนด์ ซิกตี้ ดีกรี (6ty Degrees) จึงถูกสร้างขึ้นมาจากแหล่งน้ำใต้ดินที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลของไทย ด้วยการลงทุนสร้างโรงงานผลิตที่ทันสมัยและสวยงาม บรรยากาศร่มรื่นจากดอยเชียงดาว เฟสแรกในโรงงานใช้พื้นที่ 18 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 300 ไร่ มีกำลังการผลิตต่อวัน 850,000 ขวด และเต็มกำลังการผลิตที่ 1 ล้านขวดต่อวัน

ระบบการผลิตน้ำแร่ได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเป็นระบบปิดระบบการผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบตั้งแต่ระบบการสูบน้ำที่ใช้ท่อสเตนเลสขึ้นมากรองไปจนถึงขั้นตอนการบรรจุขวด จนถึงการบรรจุในห้องสุญญากาศ ปลอดเชื้อ ทำให้น้ำแร่รักษาความบริสุทธิ์ของแร่ธาตุ หรือแม้กระทั่งการลำเลียงน้ำแร่ที่ผลิตเสร็จแล้วไปเก็บไว้ในสโตร์ ก็ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติเป็นผู้จัดเก็บ

ส่วนการวางแผนการ ตลาดได้วางจุดขายเป็นแบรนด์พรีเมียมชนกับแบรนด์ต่างประเทศ นอกจากจุดเด่นทางด้านคุณภาพและรสชาติที่ไม่มีกลิ่นกำมะถันแล้ว ยังให้ความสำคัญกับขวดบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมีความทันสมัยนำไปรีไซเคิลได้ ส่วนฝาขวดจะยึดติดกับขวดเป็นชิ้นเดียวกันสามารถปิดฝาขวดได้ทุกครั้งที่ยังดื่มไม่หมด

ในเฟสแรกจะผลิตน้ำแร่บรรจุขวด 2 ขนาด คือ 520 มล. ราคา 12 บาท และ ขนาด 1,250 มล. ราคา 20 บาท วางจำหน่าย แล้วที่ร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เกตชั้นนำทั่วประเทศพร้อมแคมเปญทางการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับเปิดตัวสินค้าเพื่อทำการสื่อสารสร้างแบรนด์และการจดจำกับกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนเฟสต่อไปจะผลิตบรรจุภัณฑ์แบบขวดและน้ำแร่ สปาร์คกิ้ง (มีฟอง)

“เป้าหมายของน้ำแร่ 6ty Degrees ในปีแรกตั้งเป้าไว้จะมีส่วนแบ่งตลาด 20% โดยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์จะต้องสร้างวิธีการเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคเหมือนแบรนด์ระดับโลกอย่างแอปเปิลหรือเทสลาให้ได้ ปัจจุบันตลาดน้ำแร่มีแบรนด์เพอร์ร่าเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยมิเนเร่ และมองเฟอร์เป็นอับดับสาม นอกจากนี้ พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ ขณะนี้มีสิงคโปร์, ซาอุดีอาระเบีย, จีนและอินเดีย ได้ติดต่อนำเข้าไปจำหน่ายจะเป็นความภูมิใจของสินค้าสัญชาติไทยอีกหนึ่งแบรนด์ที่จะไปสู่ตลาดโลก”

สำหรับในอนาคตในพื้นที่โรงงานผลิตน้ำแร่จะขยายไปสู่ธุรกิจเวลเนส ดูแลสุขภาพ และโรงแรมในเวลาและโอกาสที่เหมาะกับการลงทุนต่อไป.

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “ตลาดนัดหัวเขียว” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ