บลจ.แอสเซท พลัส แนะจัดพอร์ตรับปีกระต่าย ชูหุ้นจีน ไทย เวียดนามโดดเด่น ตั้งเป้า AUM ปี 66 เติบโตกว่า 22%
นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดทั่วโลก เริ่มต้นที่สหรัฐฯ ธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะชะลอ นโยบายปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย รวมถึงอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
สำหรับฝั่งยุโรป เงินเฟ้อของยุโรปอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB แม้ว่าค่าเงินยูโรจะกลับมามีเสถียรภาพขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม Bloomberg Consensus มีมุมมองว่า ECB จะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อกดให้เงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายที่ 2% โดยคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงกลางปี 2566 และไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง จนกว่าจะถึงไตรมาส 2 ของปี 2567 (Source: Bloomberg as of 14 Jan 2566) ในฟากฝั่งของญี่ปุ่น ช่วง 5- 6 เดือนที่ผ่านมาได้เผชิญกับค่าเงินเยนที่แข็งค่า
เมื่อเจาะลึกลงไปพบว่าค่าเงินเยนที่แข็งค่านั้นสัมพันธ์กับหุ้น Value ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ชนะหุ้นเติบโตค่อนข้างชัดเจน มากันต่อที่ภาพการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ค่าเงินกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง หนุนให้หุ้นมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น คาดการณ์ประมาณการ GDP ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
ส่วนประเทศจีนนั้นมีการเปิดเมืองเร็วกว่าที่คาด จากการใช้นโยบาย Zero-COVID ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนในปี 2566 นี้ อีกทั้งจีนยังมีนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์และเตรียมผ่อนคลายมาตรการ Three Arrows Policy เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของตลาด
นอกจากนี้เราคาดว่ารัฐบาลจะมีการออกนโยบายการคลังและการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแรงหนุนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะมาจากภาคการบริโภค เนื่องจากชาวจีนมีเงินออมส่วนเกิน (Excess Saving) ที่ค่อนข้างมาก
สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวและเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว ประมาณการเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยในปี 2565 สูงสุดในรอบ 22 ปี
โดยการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทนั้นอาจส่งผลให้ ธปท.ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนอกจากนี้ ยังได้รับผลเชิงบวก ด้านการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นจากการที่หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง
"ผมมองว่า กลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 นี้ ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ในจีน หรือจะกระจายการลงทุนมาในไทย เวียดนาม และตลาดประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย รวมทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่วนตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น ก็จะเน้นลงทุนในหุ้นสไตล์ Value ซึ่งสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้"
ตั้งเป้า AUM ปี 66 เติบโตกว่า 22%
นายคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 บลจ. แอสเซท พลัส ยังคงมุ่งนำเสนอทางเลือกในการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนโดยเน้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่นิยม รวมทั้งยังตอบโจทย์นักลงทุนได้แม้อยู่ในช่วงที่ตลาดมีสภาวะผันผวน เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุน
ล่าสุดเราได้จัดตั้งกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ที่ชื่อว่า กองทุนเปิด แอสเซทพลัส โกลบอลคาร์บอนเครดิต ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ASP-GCC-UI) ซึ่งเป็นกองทุนไทยกองทุนแรกที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคาร์บอนเครดิต เรามองว่า นี่คือโอกาสที่ดีในการสร้างผลตอบแทนระยาว และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้นักลงทุนได้กระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
นอกจากนี้ บลจ. ยังได้เริ่มทำธุรกิจใหม่นั่นคือ เรามีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund เพื่อเสริมโอกาสการเติบโตของบริษัทให้แข็งแกร่ง รวมถึงตอบโจทย์ลูกค้าในรูปแบบองค์กร ที่ต้องการทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นอีกด้วย และอีกหนึ่งกลยุทธ์สำหรับปีนี้เราเน้นการดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง (Client Services Excellence)
โดยมีการเพิ่มช่องทางด้านออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงลูกค้า เน้นการให้ข้อมูลเป็นวงกว้าง ซึ่งถือว่าเป็นขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางใหม่ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง ในปีนี้ เราวางเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ หรือ AUM ไว้ที่ประมาณ 88,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% จากปี 2565.