บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประเดิมปิดดีลประวัติศาสตร์ด้านพลังงาน ด้วยการชักธงลงจากเสา รูดม่านปิดตำนานเจ้าของสโลแกน “จับเสือใส่ถังพลังสูง” ซึ่งเป็นสโลแกนประจำตัวของ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ก่อกำเนิดในสยามประเทศ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2437 หรือเมื่อ 129 ปีที่ผ่านมา
สัปดาห์ที่ผ่านมาบางจากได้ประกาศข่าวดีว่า ได้เข้าไป ซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (เอ็กซอนโมบิล) การเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของเอสโซ่จากเอ็กซอนโมบิล โดยมูลค่าตั้งต้นซื้อขายตามมูลค่ากิจการที่ 55,500 ล้านบาท
การซื้อหุ้นเอสโซ่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและทำให้บางจากมีรายได้ต่างๆเพิ่มขึ้น 1,500-2,000 ล้านบาททันที ขณะที่บางจาก จะได้สินทรัพย์ทั้งหมดของเอสโซ่ อาทิ สถานีบริการน้ำมัน 700 สถานี ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นชื่อสถานีบริการน้ำมันบางจากภายใน 2 ปี นับจากนี้
“บางจาก” ยังจะได้เก็บเกี่ยวรายได้จากสินทรัพย์ของเอสโซ่ที่เกี่ยวข้องหลักๆคือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ 700 แห่ง ซึ่งจะทำให้บางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการรวมเป็น 2,100 แห่ง ทำให้ สามารถ ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น และการจัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น รวมทั้งมีท่อส่งน้ำมัน 2 ท่อ คือไปบางปะอินและสระบุรี ถือว่าเป็นท่อส่งน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานีบริการน้ำมันรวม 20,000 สถานี ทั้งใหญ่และเล็ก โดยบางจากคิดเป็น 30% ถือเป็น อันดับ 3 ส่วนยอดขายน้ำมันเมื่อรวมกับเอสโซ่แล้วจะเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากปั๊มโออาร์ของบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) หลังจากก่อนหน้านี้บางจากและเอสโซ่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเพื่อแย่งชิงอันดับที่ 2 ในแต่ละปี
การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว เป็นการตัดสินใจที่มาถูกที่ ถูกเวลา เพราะ “บางจาก” จะแปรสภาพเป็นเหมือนยักษ์ที่มีอัตราเติบโตที่แข็งแกร่ง มั่นคง มั่งคั่งแบบก้าวกระโดด เพราะมีเครือข่ายธุรกิจพลังงานที่ใหญ่ขึ้น มีศักยภาพในการขยายการลงทุนได้ง่าย มีอำนาจต่อรองในการซื้อน้ำมันดิบและขายน้ำมันสำเร็จรูป เพราะมีอำนาจต่อรองทั้งการซื้อและขายน้ำมัน
นอกจากนั้น ธุรกิจไฟฟ้าและร้านกาแฟอินทนิลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติมเต็มให้กับธุรกิจหลักคือน้ำมัน จะช่วยหนุนการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศในระยะยาวด้วย
กล่าวคือบางประเทศที่ยังไม่เปิดให้ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันข้ามชาติ เข้าไปลงทุน อาทิ อินโดนีเซีย ซึ่งการที่กิจการมีขนาดใหญ่ขึ้น หลังการซื้อกิจการ จะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ต่างชาติเปิดรับบางจากเข้าไป แม้ว่าอาจยังไม่สามารถเข้าไปตั้งปั๊มบางจากในประเทศ นั้นๆได้ ก็ยังสามารถนำธุรกิจผลิตไฟฟ้าและกาแฟอินทนิลเข้าไปบุกเบิกนำร่องก่อน หรือในบางประเทศที่เปิดเสรีให้ผู้ค้าน้ำมันต่างชาติ เข้าไปลงทุนตั้งปั๊มน้ำมันก็จะมีโอกาสได้เห็นบางจากทยอยออกไปตอกเสาเข็มบุกเบิกค้าขายน้ำมันในอนาคต
ที่สำคัญการปิดดีลนี้คือวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล เพราะปัจจุบันทำเลที่ตั้งของปั๊มเอสโซ่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แปลงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะปั๊มที่อยู่ในกรุงเทพฯ พื้นที่ชั้นในใจกลางเมือง ที่ราคาที่ดินแพงยิ่งกว่าทองคำ ขณะที่ในจังหวัดรอบๆปริมณฑลและหัวเมืองหลักๆ หรือหากเป็นเมืองรอง ก็อยู่ในทำเลทองเช่นกัน เนื่องจากการเปิดกิจการในไทยกว่า 100 ปี ทำให้มีโอกาสซื้อที่ดินในทำเลทองในราคาถูกกว่าผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ
หากในอนาคต เมื่อต้องการนำที่ดินเหล่านี้มาขยายการลงทุนใหม่ๆจะทำให้หาพันธมิตรได้ง่ายขึ้น เพราะมูลค่าที่ดินเป็นแรงจูงใจ ขณะที่ปั๊มบางจากที่กระจายตัวอยู่ตามชานเมือง ที่ก่อนหน้านี้เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเกษตรกร เมื่อปิดดีลนี้ได้จะทำให้ปั๊มทั้งหมดที่มีอยู่ในมือส่งเสริมกัน ได้ลูกค้าทุกกลุ่มเพิ่มขึ้น ต่างจากการควบรวมกันก่อนหน้านี้ของหลายๆบริษัทน้ำมัน ที่หลังการควบรวม กลายเป็นแย่งลูกค้ากันเอง เพราะพื้นที่ตั้งปั๊มอยู่ใกล้กันจนเกินไป
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากและประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น
“ผมมั่นใจว่าธุรกรรมนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่ สำหรับบางจากและประเทศไทย”.
เกรียงไกร พันธุ์เพ็ชร