อังกฤษตรางู ชู "เฮอร์บาซูติค" มาแรง แตกไลน์ธุรกิจลุยตลาด CBD ครั้งแรก

อังกฤษตรางู ชูสินค้า "เฮอร์บาซูติค" มาแรง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจลุยตลาด CBD ครั้งแรก ยันเน้นเรื่องความเย็น และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตามแบบฉบับอังกฤษตรางู

นายอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู กล่าวว่า กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ พร้อมเน้นย้ำเรื่องการพัฒนามาตรฐานโรงงานและคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางในการพัฒนาสินค้าว่าจะต้องเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคและเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม เข้ากับเทรนด์ตลาดและผู้บริโภค

ล่าสุด เราได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค ด้วย 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค ซีบีดี คาล์มมิ่ง โลชั่น CBD ทาและสูดดม ด้วยสารสกัด Premium CBD เสริมด้วยกลิ่นอโรม่า ในรูปแบบของเนื้อโลชั่น เพิ่มความผ่อนคลาย เติมอารมณ์ดีได้บ่อยทุกเมื่อที่ต้องการ

นอกจากนี้ยังมี สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค ซีบีดี มอยส์เจอไรซิ่ง แอนด์ โพรเทคชั่น ยูวี ไบรท์เทนนิ่ง บอดี้เซรั่ม บำรุงผิว ผสมสารสกัดจากกัญชง สูตรเข้มข้น เนื้อบางเบา บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้นับเป็นครั้งแรกของความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู และซาลัส ไบโอซูติคอล ผู้นำธุรกิจสารสกัด CBD ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นครั้งแรกของการเพิ่มทัพขยายไลน์ธุรกิจลุยตลาด CBD ครั้งแรกของบริษัท ตอกย้ำคุณภาพสินค้า ยืนหนึ่งในเรื่องความเย็น และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตามแบบฉบับอังกฤษตรางู หวังตอบโจทย์คนไทย ช่วยลดความเครียด สร้างความผ่อนคลาย ตั้งเป้ายอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค ภายในปีนี้ 2566 ไว้ที่ 200 ล้านบาท

สำหรับแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติคนั้นอีกมากมาย พร้อมตั้งเป้ากลุ่มเป้าหมายหลักไว้ที่ช่วงวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-45 ปี หรือกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความกดดันมากที่สุดจากผลการสำรวจ (ข้อมูลจาก Cigna Well Being Survey 2019) ยังพบว่าปัจจุบันคนไทยมีความเครียดสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก จาก 23 ประเทศที่ทำการสำรวจ ซึ่งคนไทยถึง 91% ยอมรับว่าตัวเองมีความเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 84% จึงมั่นใจว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค จะเข้าถึงและตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

นอกจากอังกฤษตรางูจะทำการตลาดในไทยแล้ว ยังเติบโตในตลาดต่างประเทศอีกหลายประเทศ พร้อมกับการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อคิดค้นและพัฒนาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้นๆ รวมทั้งพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดียของแบรนด์ทุกช่องทาง โดยกัญชงนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่ได้รับความสนใจทั้งจากไทยและต่างประเทศ

จากการคาดการณ์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มูลค่าตลาดกัญชงในไทยปี 2565 อยู่ที่ราว 7,200 ล้านบาท โดยอีก 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2568 นักวิเคราะห์จากสหรัฐฯ มองว่า ตลาดกัญชงไทยน่าจะอยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท หากรวมทั้งอาเซียน คาดมูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาทในปี 2568 โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ติด 1 ใน 5 อันดับความนิยม และจัดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างมูลค่าทางการตลาดให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมกัญชงในไทย.