สวีท มีท หนึ่งในเครือเตมียเวส กรุ๊ป ส่งแบรนด์น้ำมันพืชเพลิน ร่วมชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดน้ำมันพืชมูลค่า 30,000 ล้าน
นายเอกภัท เตมียเวส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ เตมียเวส กรุ๊ป และประธานกรรมการ บริษัท สวีท มีท (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของตลาดน้ำมันพืชเพื่อการบริโภคตลอดปี 65 นั้น ทั้งตลาดและราคาน้ำมันพืชเพื่อการบริโภคทั่วโลกมีการเติบโตและมีระดับราคาที่สูงขึ้นในทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักในปีนี้เกิดจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญส่งผลกระทบต่อ Supply Chain ในภาพรวมไปทั่วโลกในหลายด้าน ทั้งภาคการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารและการผลิตในอุตสาหกรรมน้ำมันเพื่อการบริโภค
นอกจากจะมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ยังส่งผลทำให้เกิดความผันผวนในด้านของราคาอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ผลกระทบโดยตรง ทั้งในด้านปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มของประเทศผู้ผลิตหลักอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภคในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของธุรกิจและการเติบโตของธุรกิจอาหารหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย มีส่วนทำให้มีปริมาณการบริโภคสูงขึ้น และทำให้ราคาน้ำมันจากกลุ่มผู้ผลิตหลักของโลกสูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อการบริโภคในกลุ่มต่างๆ รวมทั้ง สวีท มีท ด้วยเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มของตลาดน้ำมันบริโภคในปี 66 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับปี 65 คือ ตลาดยังมีการเติบโตและขยายตัวได้อีกมาก สำหรับในไทย ตลาดน้ำมันพืชเพื่อการบริโภคมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 70% และน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ 30%
ทั้งนี้ สวีท มีทฯ ซี่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันพืช เพื่อการบริโภคจึงได้เปิดตัวแบรนด์น้ำมันพืชน้องใหม่ คือ น้ำมันพืชเพลิน อย่างเป็นทางการ พร้อมลงชิงแชร์ตลาดเต็มตัว ในทุกกลุ่มของน้ำมันเพื่อการบริโภค เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันปาล์ม และถั่วเหลือง
นายเอกภัท กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานผลิตน้ำมันพืชอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีการลงทุนปรับปรุงและขยายโรงงาน รวมทั้งลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพและกำลังการผลิตของโรงงาน ทำให้มี Capacity ในการผลิตน้ำมันชนิดขวดได้สูงถึง 7,200,000 ขวดต่อเดือน (เฉพาะในขนาดไซน์ 1 ลิตรไซน์เดียว ไม่รวมขนาดบรรจุอื่น) เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นอีกมากในปี 66 โดยที่ผ่านมา สวีท มีท (ประเทศไทย)
ทั้งนี้ เราได้เริ่มเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชเพลินครั้งแรกในปี 2561 มียอดจำหน่าย 44 ล้านบาท ปี 2562 ยอดจำหน่าย 46 ล้านบาท กระโดดขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 2563 และ 750 ล้านบาท ในปี 2564 โดยคาดว่าในปี 2565 นี้ คาดว่าจะมียอดจำหน่ายสูงถึง 1,200 ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี ถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยได้รับปัจจัยหนุนการเติบโตทั้งจากความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางการค้าในทุกกลุ่มที่มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีคู่ค้า และมีตลาดกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยจากภายนอกประเทศที่สืบเนื่องมาจากภาวะตลาดโลกที่มีความต้องการน้ำมันเพื่อการบริโภคในปริมาณที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารที่มีน้ำมันพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าด้านการจัดจำหน่ายนั้น
ขณะเดียวกันบริษัท มีการจัดจำหน่ายในประเทศ 80% ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักในประเทศจะเป็นกลุ่ม B2B และส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 20% ของรายได้รวม โดยส่งออกไปในกลุ่มประเทศแถบเอเชียและกลุ่ม CLMV อาทิ เกาหลี ออสเตรเลีย พม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน ฯลฯ
ส่วนแนวโน้มและทิศทางการเติบโตของ เพลิน ในปี 2566 นั้น วางเป้าหมายไว้ว่าจะยังคงรักษาระดับการเติบโตไว้ให้ได้อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 30% หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนในการส่งออกไปยังต่างประเทศเป็น 40% และในประเทศ 60% ซึ่งได้ดำเนินการเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว