ควบรวมทรู-ดีแทค : หนทางขรุขระที่คุ้มค่าเสี่ยง

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ควบรวมทรู-ดีแทค : หนทางขรุขระที่คุ้มค่าเสี่ยง

Date Time: 24 ต.ค. 2565 07:00 น.

Summary

  • “ผิดหวังมากที่สุด” คือคำตอบของ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ผู้ยืนหยัดคัดค้านการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส

Latest

“ชรินทร์” พลิกฟื้น “เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” “รัดเข็มขัด” สร้างกำไรจุดขายใหม่ย่านบรรทัดทอง

“ผิดหวังมากที่สุด” คือคำตอบของ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ผู้ยืนหยัดคัดค้านการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา

สอดคล้องกับถ้อยวจี “มติอัปยศ” ของ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่โพสต์เฟซบุ๊ก ประณามมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 ที่รับทราบและไม่คัดค้านการควบรวมกิจการทรูและดีแทค

เช่นเดียวกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “ผิดหวังและเป็นวันน่าเศร้าของเศรษฐกิจไทย”

ในห้วงที่อารมณ์ ความรู้สึกมาเต็มจากฝั่งคัดค้านการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค “ทีมเศรษฐกิจหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ขอลำดับและประเมินเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยอีกครั้ง หลังซบเซามานานจากการแข่งขันที่เริ่มอิ่มตัว การประมูลคลื่นความถี่ที่เคยคึกคัก นำเงินเข้ารัฐได้มากมายมหาศาลจนเข้าสู่ยุคฝืดเคือง กระสุนหมด

เพราะการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค คือการเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมไปตลอดกาล แม้ทรูและดีแทคจะพยายามอย่างมากที่จะบรรลุข้อตกลง ซึ่งพวกเขามองว่าคืออนาคตอันสดใส ที่จะเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้อย่างเข้มแข็งทั้งในและนอกประเทศ เพราะในโลกธุรกิจ สิ่งสำคัญคือความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขัน เดิมพันครั้งนี้จึงสูงและคุ้มค่าที่จะเดินหน้าลุย!!

แต่ความเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบต่อผู้ใช้มือถือในประเทศเกือบ 100 ล้านเลขหมาย ย่อมต้องมาพร้อมกับความเจ็บปวด ทั้งต่อผู้บริโภค คู่แข่ง กระทบชิ่งไปถึงหน่วยงานกำกับดูแล และต่อทรู-ดีแทคเอง...

พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ
พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ


ประธานบอร์ดพลีชีพโหวต 2 เสียง

หลังจากขอเวลาศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ในที่สุดที่ประชุมบอร์ด กสทช. ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 ก็สรุปจบภารกิจที่ยืดเยื้อมากว่า 6 เดือน นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน เม.ย.2565 โดยใช้เวลาประชุมมาราธอนกว่า 11 ชั่วโมง

มติเสียงข้างมากก็ได้เคาะรับทราบการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค ในสัดส่วน 3:2 โดยมติที่แท้จริงคือ 2:2:1 เนื่องจาก พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองประธาน กสทช. งดออกเสียง ขณะที่ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. และนายต่อพงศ์ เสลานนท์ รวม 2 เสียง เห็นว่าบอร์ดมีอำนาจแค่รับทราบการควบรวม แต่สามารถกำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ส่วนอีก 2 เสียงได้แก่ รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต สงวนความเห็นไม่อนุญาตให้มีการควบรวม

นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์
นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์

เมื่อไม่สามารถบรรลุมติเสียงข้างมากได้ นพ.สรณจึงต้องกางระเบียบ กสทช.ข้อที่กำหนดให้ประธานบอร์ดสามารถใช้อำนาจออกเสียงเพิ่มอีก 1 เสียง เพื่อเป็นการชี้ขาด ทำให้ นพ.สรณใช้สิทธิโหวตได้ 2 ครั้ง กลายเป็นมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวมธุรกิจในที่สุด

นอกจากเปิดหวอให้ควบรวมกิจการแล้ว ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อกังวล (Point of concern) จำนวน 5 ข้อ และเห็นชอบเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคม อาทิ ให้กำหนดเพดานราคาค่าบริการเฉลี่ย ลดลง 12% โดยใช้วิธีการเฉลี่ยราคาใหม่ ภายใน 90 วันหลังการควบรวม, ต้องนำส่งข้อมูลรายงานบัญชีแยกประเภทในกิจการโทรคมนาคมให้ครบถ้วนทุก 3 เดือน หรือเมื่อร้องขอ เพื่อใช้ตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน ค่าบริการ และนำมาคำนวณหาต้นทุนรวมเฉลี่ย

ตลอดจนจัดให้มีที่ปรึกษาสอบทาน (Verify) ข้อมูลโครงสร้าง ต้นทุนอัตราค่าบริการ โดย กสทช. กำหนด และทรู–ดีแทครับผิดชอบภาระค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังกำหนดให้ทรูและดีแทคแยกแบรนด์ให้บริการเป็นเวลา 3 ปี

นอกจากนั้นยังต้องมีแผนสนับสนุนผู้ให้บริการโครงข่ายเสมือน (MVNO) ด้วยการจัดให้มีหน่วยธุรกิจด้าน MVNO เป็นการเฉพาะ โดยต้องเจียดโครงข่ายให้ MVNO ใช้ไม่ต่ำกว่า 20% ของโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งหมด ในราคาขายต่ำกว่าราคาขายปลีก 30% และไม่ให้กำหนดเพดานขั้นต่ำในการเข้าซื้อ

รวมทั้งต้องให้บริการ 5G ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 85% ของจำนวนประชากรทั้งหมดภายใน 3 ปี และ 90% ภายใน 5 ปีนับจากวันควบรวมธุรกิจ เป็นต้น

ความเห็น “ศุภัช–พิรงรอง” ทำไม? ต้องค้าน

เพราะคำว่า “ทรยศวิชาชีพตัวเองไม่ได้” ทำให้ “ศุภัช ศุภชลาศัย” กรรมการ กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ และ “พิรงรอง รามสูต” กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ตัดสินใจเป็นกรรมการ กสทช.เสียงข้างน้อย ไม่อนุญาตให้ควบรวบกิจการ “ทรู–ดีแทค” สอดคล้องการแสดงจุดยืน คัดค้านการควบรวบมาตลอดเวลากว่า 6 เดือน นับตั้งแต่รับตำแหน่ง โดย รศ.ดร.ศุภัช แสดงความเห็นคัดค้านเป็นเอกสารหลักฐานระบุว่า การรวมธุรกิจครั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการมีอำนาจตลาดสูง ส่งผลต่อการแข่งขัน เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ยาก หรือไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะเข้าสู่ตลาด

นอกจากนี้ยังจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ อัตราค่าบริการมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะทางเลือกบริการน้อยลง คุณภาพการให้บริการลดลง ผู้ร่วมธุรกิจไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีหรือถ้ามีก็ลงทุนล่าช้า และไม่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ ย่อมทำให้ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคม เพิ่มสูงขึ้น จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มลดลง อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เพราะขาดความชัดเจนว่ารวมธุรกิจแล้วประชาชนได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใด และที่ผ่านมาได้พยายามประเมินผลหลายด้านแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏผลที่ชัดเจนว่าจะบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดต่อสาธารณชน เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาประเทศได้ และการศึกษาและประสบการณ์ในหลายประเทศที่รวมธุรกิจ เหลือผู้ประกอบการ 2 รายในตลาด พบว่าเงื่อนไขหรือมาตรการไม่สามารถป้องกันหรือลดทอนผลกระทบอันเกิดจากการผูกขาดได้

ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต

“จากเหตุผลข้างต้นและเพื่อมิให้ประเทศต้องเผชิญความเสี่ยง ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการควบรวบกิจการทรู–ดีแทค”

ขณะที่ ศ.ดร.พิรงรอง เปิดเผยความเห็นคัดค้านผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เพราะเป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการมือถือ ทั้งในแง่ลดหรือจำกัดการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ด้วย 7 เหตุผล ที่สนับสนุนการตัดสินใจคัดค้าน ดังนี้

1.ทำให้ตลาดเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 ราย หรือเกิดสภาวะ Duopoly

2.จากการศึกษาของ SCF Associates Ltd. ที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศ ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคมากกว่าข้อดี อีกทั้งมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมด การรวมธุรกิจจะนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาด และมีโอกาสที่ค่าบริการจะสูงขึ้น

3.เงื่อนไขและมาตรการเฉพาะต่างๆที่บังคับการรวมธุรกิจ ไม่น่าจะช่วยเพิ่มระดับการแข่งขันในตลาดได้ และอาจเป็นไปได้ยากในภายหลังจากการควบรวม ขณะที่ กสทช.ไม่อาจคาดหมายได้ว่าเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้เช่นเดียวกับที่เคยมีอยู่ก่อนการควบรวมหรือไม่

4.เอกสารประกอบการพิจารณาไม่ชัดเจนว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

5.การควบรวมมีโอกาสนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันทางการแข่งขัน

6.ตลาดมือถือไทยอยู่ภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและเข้ามาแย่งชิงตลาดได้ยาก เช่น กรณีการควบรวมของเม็กซิโกและฟิลิปปินส์

7.มีโอกาสขยายตลาดโดยใช้กลยุทธ์การขายบริการแบบเหมารวม เพราะ 1 ในผู้ขอรวมธุรกิจมีความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจบริการค้าปลีกและค้าส่งของประเทศ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกอบการรายอื่น.

มะรุมมะตุ้มรุมฟ้องบอร์ด กสทช.

ทันทีที่มติถูกเปิดเผยออกมา การรอคอยที่สิ้นสุดลงของทรูและดีแทค ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความยุ่งเหยิง วุ่นวายและความไม่แน่นอนอีกมากมายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

เมื่อบรรดาเหล่าผู้คัดค้านพากันมะรุมมะตุ้ม เริ่มจากเครือข่ายสภาองค์กรผู้บริโภคประกาศฟ้องศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยเร็วที่สุด ไม่ให้การควบรวมเดินหน้าต่อได้ โดยกำลังประสานขอรายงานมติบอร์ดทั้งหมด รวมทั้งบันทึกความเห็นบอร์ดทั้ง 5 คน และยังจะฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควบคู่กันไปด้วย

เช่นเดียวกับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกลจะยื่นเรื่อง ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบ กสทช. เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยจะยื่นร้องสอบบอร์ด กสทช. ทั้ง 5 คน เพราะหากกรรมการประพฤติมิชอบหรือทำผิดขั้นตอนกระบวนการ ก็อาจทำให้การตัดสินครั้งนี้เป็นโมฆะได้ ปลุกกระแสโกรธเกรี้ยวของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์

นอกเหนือจากเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค นักการเมือง นักวิชาการแล้ว ดูเหมือนว่าคู่แข่งรายสำคัญในธุรกิจ อย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ที่ถูกมองว่าน่าจะสุขสบายดีกับการแข่งขันที่น้อยลง กลับเลือกโดดร่วมข้างคัดค้านการควบรวมในครั้งนี้เช่นกัน

ท่ามกลางความเงียบงันในช่วงแรกๆ ที่การควบรวมกิจการถูกเปิดเผยออกมาในวันที่ 22 พ.ย.2564 ท่าทีของเอไอเอสชัดเจน ตรงไปตรงมา เมื่อตัดสินใจร่อนหนังสือถึงบอร์ด กสทช.คัดค้านการควบรวมกิจการของ 2 คู่แข่ง

นายต่อพงศ์ เสลานนท์
นายต่อพงศ์ เสลานนท์

ท่าทีของเอไอเอสแข็งกร้าวขึ้น บนเวทีแสดงความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (Focus Group) ที่สำนักงาน กสทช.จัดขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อกรณีการควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค โดยตัวแทนเอไอเอสให้ความเห็นว่าการควบรวมทำให้เกิดการผูกขาด แถมให้เหตุผลแบบ “สุดหล่อ” ว่า แม้จะได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่อยากนิ่งเฉยและเป็นส่วนหนึ่งของการผูกขาดนี้

แม้เหตุผลที่ให้จะเทน้ำหนักไปที่อาการ “ใจหล่อ” แต่เมื่อมองให้ไกล มองให้ลึก โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของเอไอเอสเพิ่งถูกเปลี่ยนจากกลุ่มทุนสิงคโปร์ในนามเทมาเสกและสิงคโปร์ เทเลคอม เป็นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อภิมหาทุนยักษ์ใหญ่สายพลังงาน ผู้กว้างขวางและ
มาแรงแห่งทศวรรษ

เอไอเอสสนุกสนานกับการเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยมามากกว่า 20 ปี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง กำไรล้น ปันผลมโหฬาร ทิ้งห่างคู่แข่งทั้งทรูและดีแทค เฉพาะกำไรครึ่งแรกของปี 2565 เอไอเอสทำได้ 12,616 ล้านบาท ขณะที่ทรู ขาดทุน 2,378 ล้านบาท และดีแทคกำไร 1,730 ล้านบาท

แม้การควบรวมอาจทำให้การแข่งขันลดน้อยลง แต่จากท่าทีของเอไอเอส สิ่งนี้คงไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำตลาดอย่างเอไอเอสต้องการ การแข่งขันกับคู่แข่งที่โงนเงนง่อนแง่น น่าจะปลอดภัยมากกว่า

โดยเฉพาะเมื่อทรู มีบริษัทแม่อย่างซีพี เป็น 1 ในผู้แข็งแกร่งแห่งปฐพีเช่นกัน การทำให้ทรูแกร่ง อาจทำให้เอไอเอสเจ็บได้ในอนาคต ผนวกกับดีแทคมีบริษัทแม่อย่างเทเลนอร์ ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก

คู่แข่งซึ่งจะแกร่งขึ้น บริหารต้นทุนได้ดีขึ้นจากการควบรวมกิจการ เป็นสิ่งที่สร้างความเสี่ยงอย่างยิ่งต่ออนาคตเอไอเอส

ต่อข้อถามเรื่องการควบรวมกิจการของทรูและดีแทคในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการประลองกำลังของ 2 ทุนยักษ์ในประเทศหรือไม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตอบยิ้มๆว่า ตนเป็นนักธุรกิจ ธรรมดาของธุรกิจคือการแสวงหากำไร แสวงหาความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน เป็นเรื่องปกติ แต่การยอมให้เหลือคู่แข่งในตลาดน้อยลง เป็นการลดทอนการแข่งขันแน่นอน

รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย
รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย

ฝ่าฟันมาตรการโหด–คดีฟ้องร้อง

ในส่วนของท่าทีในฝั่งของทรูและดีแทค ทั้ง 2 บริษัทกำลังตั้งทีมศึกษามาตรการที่ต้องปฏิบัติโดยละเอียด เบื้องต้นมติบอร์ดที่เผยแพร่ในข่าวประชาสัมพันธ์ที่ส่งให้สื่อมวลชน เมื่อค่ำวันที่ 20 ต.ค.2565 น่าจะสร้างความกังวลใจให้กับทั้ง 2 ค่ายไม่น้อย

ต่อเรื่องนี้ ฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB ในฐานะนักวิชาการด้านโทรคมนาคมที่เกาะติดประเด็นควบรวมระหว่างทรูและดีแทค บอกว่า ผิดหวังกับมติบอร์ดแต่ไม่ผิดคาด อยากเห็นมาตรการด้านโครงสร้าง เช่น การยึดคืนคลื่น แต่ก็ไม่เห็น กระนั้นมีหลายมาตรการด้านพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น โครงสร้างการกำหนดราคาตามต้นทุนที่สะท้อนความเป็นจริงมากกว่าเดิม ซึ่งน่าจะนำไปสู่การควบคุมราคาให้ต่ำลงได้จริง ตลอดจนการต้องยื่นรายงานบัญชีแยกประเภท และถูกตรวจสอบโดยบริษัทที่ปรึกษาบุคคลที่ 3 ซึ่งน่าจะสร้างความกังวลแก่ทรูและดีแทค เพราะเป็นความลับทางธุรกิจ เช่นเดียวกับมาตรการด้าน MVNO ที่กำหนดราคาขายส่งต่ำลงมากและไม่มีเพดานซื้อขั้นต่ำ น่าจะช่วยให้รายเล็กสามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น

ขณะที่ความเสี่ยงด้านกฎหมาย หากศาลปกครองตัดสินคุ้มครองชั่วคราว จะทำให้กระบวนการควบรวมต้องหยุดชะงักลง แม้เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีซีพีซื้อเทสโก โลตัส ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ร้องศาลปกครองให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเช่นกัน แต่ครั้งนั้นศาลไม่มีคำสั่งคุ้มครอง คดีฟ้องร้องจึงเข้าสู่กระบวนการปกติ แต่การพิจารณาคดีในธุรกิจโทรคมนาคมก็อาจต่างจากคดีธุรกิจค้าปลีก

...อย่างไรก็ตาม สำหรับทรูและดีแทค แม้จะต้องผ่านอีกกี่อุปสรรค ฝ่าอีกกี่ด่าน หากควบรวมสำเร็จ ถือเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่า...

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ