สัมมากร ร่วมลงทุน แอสเซท โปร ทำบ้านหรูเริ่ม 30 ล้าน เจาะ Niche Market ดึง ป๊อด โมเดิร์นด็อก เป็น Brand Iconic ดึงเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO กล่าวว่า ช่วงการระบาดของโควิด-19 เราได้ติดตามและประเมินผลกระทบต่างๆ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ที่บริษัทมีการเติบโตไปในทิศทางบวก และยังคงมีเรียลดีมานด์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ 6 เดือนแรกปี 64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 716.39 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 63 ที่มีรายได้รวมจำนวน 672.52 ล้านบาท และตลอดปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,701.50 ล้านบาท
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์ที่มีปัจจัยลบเข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการต่างต้องหาวิธีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ยังดำเนินต่อไป สัมมากรก็เช่นเดียวกันที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวอยู่เสมอ
โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาระบบภายในเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเท่าทันต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการพัฒนาโครงการและการทำแคมเปญตลาด ทั้งนี้จากการสำรวจความต้องการปัจจุบันเราเล็งเห็นว่าในบางเซกเมนต์ยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง
จากประสบการณ์มาตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีของสัมมากร เรามีความพร้อมและมั่นใจในศักยภาพรอบด้านในการพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกเซกเมนต์ และโอกาสนี้เพื่อขยายฐานตลาดสู่กลุ่มลูกค้าระดับบน
บริษัทฯ ได้จับมือกับ แอสเซท โปร พัฒนาโครงการ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 3 ชั้น บนทำเลเอกมัย-รามอินทรา มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการคิกออฟรุกตลาดบ้านหรูครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท
นายณพน กล่าวอีกว่า เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ เราได้เชิญ ป๊อด โมเดิร์นด็อก มาเป็น Brand Iconic ของโครงการฯ ด้วยบุคลิกที่มีความเป็นตัวเองสูง มีความเป็นศิลปิน อีกทั้งเป็นนักสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นเสมอ ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของโครงการฯ อีกด้วย
นายกล้ายุทธ จินตนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ สัมมากร พัฒนาโครงการ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra นับเป็นการขยายตลาดมาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของเรา
โดยสัดส่วนการลงทุนจะอยู่ที่ สัมมากร 51% และแอสเซท โปร 49% โดยเราเชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์การดูแลลูกค้าระดับ พรีเมียมและกลุ่มนิชมาร์เก็ตของเรา ผนวกกับความเชี่ยวชาญของทีมงานสัมมากรในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง จะสร้างความต่างที่ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มเป้าหมายที่พวกเราวางไว้ รวมถึงสามารถสร้างความพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้ากลุ่มนี้ และส่งผลให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
สำหรับ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซปต์ Defining Me เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเอง สนุกสนานกับทุกสิ่งที่ทำ เปรียบเหมือนจิตรกรที่กำลังแต่งแต้มผลงานมาสเตอร์พีซบนผืนผ้าใบ ด้วยรูปแบบดีไซน์ Bauhaus ผสมผสานระหว่างฟังก์ชันที่ทันสมัยกับความสวยงามของศิลปะ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของผู้พักอาศัยที่ต้องการความต่างอย่างลงตัว
โดยเน้นเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว พิเศษด้วยความเป็นส่วนตัวที่มีเพียง 12 หลังเท่านั้น บนไพร์มโลเคชั่นโซนเอกมัย-รามอินทรา ศูนย์กลางแห่งการใช้ชีวิตครบทุกด้าน ตัวโครงการฯ ตั้งอยู่บนที่ดิน 3-1-6.2 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท มีขนาดตั้งแต่ 64.5 - 100.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 428 - 712 ตารางเมตรพร้อมลิฟต์และสระว่ายน้ำส่วนตัว อีกทั้งยังมีคลับเฮาส์และฟิตเนส
ยอดขายบ้านเดี่ยว บ้านหรูไม่กระทบแม้มีโควิด
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE กล่าวว่า จากการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจและมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ชะลอตัว แต่ตลาดบ้านเดี่ยวถือว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดคอนโดมิเนียม เพราะเป็นตลาดของผู้อยู่อาศัยเอง หรือ End User เป็นหลัก
ทั้งนี้ ตลาดบ้านเดี่ยว โดยเฉพาะระดับลักชัวรี่ที่มีราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไปยังค่อนข้างคึกคัก มีการเปิดตัวสูงถึง 439 หลังในปี 2563 และมียอดขายอยู่ในเกณฑ์คงที่ประมาณ 60–68% ปัจจัยสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่และฟังก์ชันการใช้งาน ทำเลที่ได้รับความนิยมมากอันดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกและตอนเหนือ โดยทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกมีโครงการมากสุดถึง 1,073 หลัง
ส่วนฝั่งเหนือ มีซัพพลายน้อยกว่าด้วยข้อจำกัดของที่ดิน ทำให้มีอัตราการดูดซับดีที่สุดและมียอดขายไปแล้ว 87% ในด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญเรื่องพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย มีพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน มีการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก
เช่น ERV (Energy Recovery Ventilator) เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ ที่ช่วยดูดความร้อนออกจากบ้านและเติมความเย็นเข้าไปในตัวบ้านทำให้บ้านเย็น เป็นต้น และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องทำเล ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบโซนที่อยู่อาศัย เน้นใกล้เมืองที่สามารถเดินทางเข้าออกได้ หลายทาง เชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ได้ง่าย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นต้น.