REIC คาดต้นปี 65 ยอดขายอสังหาฯ ทยอยฟื้นตัว โครงการใหม่เพิ่มขึ้น 95.8%

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

REIC คาดต้นปี 65 ยอดขายอสังหาฯ ทยอยฟื้นตัว โครงการใหม่เพิ่มขึ้น 95.8%

Date Time: 15 ก.ย. 2564 16:30 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าต้นปี 65 ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มฟื้นตัว โครงการใหม่เพิ่มขึ้นกว่าปี 64 เหตุรัฐกระจายวัคซีนทั่วถึง คาดเศรษฐกิจขยายตัว 4.0%

Latest


ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าต้นปี 65 ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มฟื้นตัว โครงการใหม่เพิ่มขึ้นกว่าปี 64 เหตุรัฐกระจายวัคซีนทั่วถึง คาดเศรษฐกิจขยายตัว 4.0%

เมื่อวันที่ 15 ก.ย.64 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC กล่าวว่า จากการที่ศูนย์ข้อมูลฯ ได้จัดเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 64 พบว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาดน้อย โดยมีเพียง 18,713 หน่วย หรือ ลดลงร้อยละ -4.7 และมีมูลค่ารวม 86,419 ล้านบาท หรือ ลดลงร้อยละ -5.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 63 

ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้อุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่มีการขายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวนรวม 194,779 หน่วย หรือลดลงร้อยละ -5.4 และมีมูลค่ารวม 971,460 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -6.4 โดยมีหน่วยขายได้ใหม่ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ประมาณ 29,776 หน่วย หรือลดลงร้อยละ -9.1 และมีมูลค่า 144,651 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -9.0 ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 165,003 หน่วย และมีมูลค่ารวมประมาณ 826,809 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ -4.7 และ -5.9 ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบว่า โครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ชะลอตัวในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร โดยมีจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -70.1 ร้อยละ -67.1 และร้อยละ -29.1 ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรปราการยังคงมีหน่วยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 82.4 ร้อยละ 43.1 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรเกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ทั้งปี 64 หน่วยขายได้ใหม่ ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนประมาณ 61,993 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 292,616 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 31,999 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 173,652 ล้านบาท โครงการอาคารชุดประมาณ 29,994 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 118,965 ล้านบาท 

พร้อมทั้ง หน่วยเหลือขายปี 64 ในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 171,283 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 836,530 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 99,744 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 516,072 ล้านบาท โครงการอาคารชุดประมาณ 71,539 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 320,458 ล้านบาท

ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 64 จะมีหน่วยขายได้ใหม่มากกว่าครึ่งปีแรก หรือมีอัตราขยายตัวติดลบลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ -6.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าลดลงประมาณร้อยละ -10.3

สำหรับแนวโน้มปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเข้าสู่ตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนประมาณ 86,117 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 374,368 ล้านบาท ประกอบด้วย

- โครงการบ้านจัดสรร ประมาณ 37,792 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 202,726 ล้านบาท

- โครงการอาคารชุด ประมาณ 42,325 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 171,642 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งแรกปี 65 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 64 ถึงร้อยละ 95.8 และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 24.3 ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ในขณะที่มูลค่าในครึ่งแรกของปี 65 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 100.3 และเริ่มชะลอการขยายตัวในช่วงครึ่งหลังปี 65 โดยจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวนประมาณ 75,843 มูลค่ารวม 341,472 ล้านบาท ประกอบด้วย

- โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 35,070 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 180,421 ล้านบาท

- โครงการอาคารชุดประมาณ 40,773 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 161,051 ล้านบาท

โดยตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมียอดขายดีกว่าปี 64 ร้อยละ 17.4 และครึ่งปีหลัง 65 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 26.9 มูลค่าในครึ่งแรกของปี 65 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11.0 และขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 22.3 ในช่วงครึ่งหลังปี 65 เป็นผลมาจากการกระจายวัคซีนในประเทศทั่วถึง คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 65 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0

นอกจากนี้ ปี 65 จะมีหน่วยเหลือขายในตลาดจำนวนประมาณ 161,120 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 771,953 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 92,751 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 482,778 ล้านบาท และโครงการอาคารชุดประมาณ 68,369 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 289,175 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกปี 65


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ