สู่พลังงานอนาคต

สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศยุทธศาสตร์ “การขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยการมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอนาคต และเติบโตในธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน (Powering life with Future Energy and beyond)” ที่จะเป็นเข็มทิศกำหนดทิศทางในอนาคตของกลุ่ม (Strategic Thinking Session : STS) ใหม่ ระหว่างปี 2564-2573

นี่คือคำกล่าวของ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของ ปตท.

เขากล่าวย้ำว่า ผลสำเร็จที่จะต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นให้ได้ภายในปี 2573 ประกอบด้วย การปรับพอร์ตการลงทุนพลังงานหมุนเวียน (Renewable) เพิ่มขึ้นจาก 8,000 เมกะวัตต์ เป็น 12,000 เมกะวัตต์ในปี 2573, เพิ่มพอร์ตการลงทุนในธุรกิจพลังงานอนาคต (Future Energy) และธุรกิจใหม่ (New Business) เป็น 32% ของการลงทุนรวม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และพลังงาน รวมทั้งสภาวะที่เปลี่ยนแปลงจากผลกระทบโควิด-19

ทำให้ ปตท.ไม่สามารถย่ำเท้าอยู่กับธุรกิจเดิมๆได้อีกต่อไป เมื่อสถานการณ์โลกที่แปรเปลี่ยน ผันผวนตลอดเวลา

ยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะทำให้ปี 2573 กลุ่ม ปตท.จะต้องมีกำไรจากธุรกิจพลังงานอนาคตและธุรกิจใหม่ ให้มากกว่า 30% จากขณะนี้ ขณะที่การเติบโตของธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9,000,000 ตันต่อปี และธุรกิจ ไฟฟ้าประเภท Conventional Power (โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหรือพลังงานประเภทอื่นๆ) ก็จะเพิ่มปริมาณ เป็น 8,000 เมกะวัตต์ และพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 เมกะวัตต์ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15% เพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามนโยบายของรัฐบาลภายในปี 2570

ขณะที่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนโดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ, ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นน้ำมันที่ จะมุ่งสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง, ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก จะขยายการค้าปลีกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

สำหรับธุรกิจไฟฟ้า จะขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศไทยและต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญเรื่องพลังงานหมุนเวียน ที่จะร่วมมือกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือจีพีเอสซี ตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ อาทิ อินเดีย ไต้หวัน และจีน เป็นต้น

ในส่วนของพลังงานอนาคต (Future Energy) เป็นการเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ระบบเก็บกักพลังงาน EV value chain เพื่อรองรับธุรกิจผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ของ ปตท. รวมถึงการศึกษาพลังงานรูปแบบใหม่คือไฮโดรเจน และธุรกิจใหม่ (New Business)

จากนี้ไป ปตท.จะก้าวไปสู่ การเร่งขยาย ธุรกิจที่มีศักยภาพในอนาคตเช่น วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) อาทิ ธุรกิจผลิตยารักษาโรคมะเร็ง รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไทยยังไม่สามารถผลิตได้ เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าของอุปกรณ์ดังกล่าว ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน

โดย ปตท.พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ รวมทั้งแผนลงทุนใน ธุรกิจโลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเติมเต็มโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศไทยให้ได้มากที่สุด และได้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้า จะได้เห็นการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆนี้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ งบลงทุนของ ปตท.และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% ในช่วง 5 ปี (2564-2568) อยู่ที่ 117,840 ล้านบาท โดยปีนี้ ปตท.ได้ปรับเพิ่มงบลงทุนจาก 52,931 ล้านบาท เป็น 67,504 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28%

ส่วนงบลงทุนของกลุ่ม ปตท. 5 ปี (2564-2568) อยู่ที่ 865,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนอาทิ โครงการของ ปตท. 14% ธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้นของ ปตท.สผ. ประมาณ 50% ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย 30% ธุรกิจไฟฟ้า 6%

ปตท.ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนของกลุ่ม ปตท.ในอนาคต อีก 784,000 ล้านบาท นอกเหนือจากงบลงทุนตามแผนปฏิบัติการข้างต้น ที่ในปีนี้จะได้เห็นการลงทุนของบริษัทลูก ปตท. ที่จะทยอยเข้าไปซื้อกิจการหรือเข้าไปร่วมทุน ในต่างประเทศหลายๆ โครงการ ที่ ปตท.พร้อมจะ สนับสนุนเงินกู้

เขาทิ้งท้ายว่า การลงทุนของ ปตท. ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้องค์กรขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพระดับโลก เร่งลงทุนเพื่อเป็นฟันเฟือง กระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะโควิด-19 ที่กำลังอาละวาดประเทศไทยและทั่วโลกในขณะนี้!!!

เกรียงไกร พันธุ์เพ็ชร