ในช่วงเวลา 5-6 ปีย้อนหลัง การเติบโตของเศรษฐกิจโลก เปลี่ยนทิศทางจากฟากฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ที่เป็นตัวขับเคลื่อน มายังฝั่งของทวีปเอเชีย ส่งผลให้เศรษฐีใหม่ในเอเชียแปซิฟิก ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด โดยเฉพาะในจีน ส่วนประเทศไทยไม่น้อยหน้า มีบรรดาเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมาย
นับเป็นตัวจุดกระแสให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) หรือ ธุรกิจเวลธ์ หรือเรียกง่ายๆ “รับจ้างบริหารสินทรัพย์ให้เศรษฐี” เป็นที่จับจ้องของบรรดาสถาบันการเงิน เป็นที่มาของการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อแย่งชิงฐานลูกค้าเศรษฐีที่สำคัญยังสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
มาดูสินทรัพย์และจำนวนเศรษฐีในประเทศไทย พบว่าในปี 2563 มีเศรษฐีทั่วประเทศ 793,000 คน หรือคิดเป็นเพียง 1% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ในทางกลับกันมีสินทรัพย์ที่นำมาให้สถาบันการเงินบริหารรวมกันทั้งสิ้น 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของสินทรัพย์ของประชากรทั้งประเทศ
หากแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มๆพบว่า เศรษฐีใหม่ ลงทุน 2-10 ล้านบาท มีจำนวนสูงถึง 562,000 คน มีสินทรัพย์ที่รับบริหารรวมกัน 3.2 ล้านล้านบาท กลุ่มที่ 2 เศรษฐีระดับกลาง ลงทุน 10-50 ล้านบาท มีอยู่ 195,000 คน มีสินทรัพย์ที่รับบริหารรวมกัน 4.2 ล้านล้านบาท สุดท้ายเศรษฐีระดับบน ลงทุน 50 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 36,000 คน แต่มีสินทรัพย์ที่รับบริหารร่วมกันสูงถึง 8.8 ล้านล้านบาท
“หากมอง 5 ปีย้อนหลัง มีเศรษฐีใหม่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นปีละ 5% พอถึงปี 2563 ไทยมีเศรษฐีทั้งหมด 793,000 คน หากมองไปข้างหน้าอีก 3 ปีนับจากนี้ หรือถึงปี 2567 จะมีเศรษฐีไทยเพิ่มขึ้นเป็น 886,000 คน”
ธนาคารไทยพาณิชย์ สถาบันการเงินชั้นนำของเมืองไทย ที่มีฐานลูกค้าบุคคลมากกว่า 16 ล้านคน และมีฐานเงินฝากติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ได้มองเห็นโอกาสจากการเติบโตของตลาดเวลธ์ อีกทั้งลูกค้าเศรษฐีได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้ปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจเวลธ์ใหม่ “Wealth Transformation” เน้นสร้างรากฐาน สร้างขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา ควบคู่ไปกับการปรับ Operating Model พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการลงทุนในรูปแบบของ Open Architecture ที่คัดสรรเป็นพิเศษจากพันธมิตรด้านการลงทุนและประกันกว่า 35 แห่ง
ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีลูกค้าเวลธ์ทั้งหมด 340,000 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้า SCB PRIME มีสินทรัพย์ 2-10 ล้านบาท มีจำนวน 250,000 คน กลุ่ม SCB FIRST มีสินทรัพย์ 10-50 ล้านบาท มีจำนวน 80,000 คน และกลุ่ม SCB PRIVATE BANKING มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 11,000 คน
เป้าหมายหลักของธนาคารไทยพาณิชย์ “ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าเวลธ์” พร้อมเปิดตัว “SCB PRIVATE BANKING” โฉมใหม่ ภายใต้กลยุทธ์ในการให้คำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญครบวงจรและเต็มรูปแบบ ขีดเส้นปีนี้เพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเป็น 1 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 850,000 ล้านบาท
ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดเต็มพิกัด โดยลูกค้า SCB PRIME ได้รับสิทธิ์ บินฟรี สายการบินไทยสมายล์ สำหรับเส้นทางไป-กลับภายในประเทศ 1 ที่นั่งต่อรอบปีปฏิทิน บริการห้องรับรองพิเศษ Royal Silk Lounge และ Royal Orchid Lounge ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินภูมิภาค บริการเครื่องดื่มที่ Starbucks รับเครดิตเงินคืน 200 บาททุกไตรมาส มูลค่ารวม 800 บาท บริการด่วนพิเศษในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร
ลูกค้า SCB FIRST ได้รับสิทธิ์มากกว่า SCB PRIME อาทิ ยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิตไทยพาณิชย์ อัปเกรดชั้นบัตรโดยสารสายการบินสูงขึ้น 1 ระดับใน 43 เส้นทางบินในทวีปเอเชีย ประกันภัยอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง บริการสำรองที่จอดรถพิเศษ ที่สาขาของธนาคาร และศูนย์การค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ บริการฟิตเนส ณ โรงแรมและฟิตเนสคลับชั้นนำ บริการนวดแผนไทยเพื่อสุขภาพและการผ่อนคลายที่ Health Land 2 ชั่วโมงต่อครั้งต่อเดือน และ Let’s Relax 1.5 ชั่วโมงต่อครั้งต่อเดือน
ส่วน SCB PRIVATE BANKING ได้รับสิทธิ์เหนือกว่า SCB FIRST อาทิ ยกเว้นค่าธรรมเนียมเอทีเอ็ม บริการตู้นิรภัย มอบส่วนลด 50% ค่าธรรมเนียมรายปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกเช็ค อัตราการแลกเงินพิเศษ บริการห้องรับรองพิเศษของบัตร Priority Pass ณ สนามบินชั้นนำทั่วโลก บริการห้องรับรองพิเศษที่คิง เพาเวอร์ ส่วนลดราคาสินค้าที่คิง เพาเวอร์ 20% บริการรับส่งสนามบินสุวรรณภูมิ หรือดอนเมือง
ทางด้านสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้า SCB เลือกใช้บริการมากสุด 3 อันดับแรก โดยลูกค้า SCB Private Banking อันดับ 1 อัปเกรดตั๋วเครื่องบิน 1 ระดับ ในเส้นทางเอเชีย 2.Priority Pass เข้าใช้บริการเลานจ์ได้ถึง 1,200 แห่งทั่วโลก และ 3.นวด ที่ Health Land หรือ Let’s relax ทุกเดือน ส่วนลูกค้า SCB FIRST เลือกใช้ 1.Priority Pass เข้าใช้บริการเลานจ์ได้ถึง 1,200 แห่งทั่วโลก 2.อัปเกรดตั๋วเครื่องบิน 1 ระดับ ในเส้นทางเอเชีย และ 3.เลือกอิ่มอร่อยกับ 3 ร้านที่ เอ็มเค หรือ S&P หรือ Starbucks และลูกค้า SCB PRIME อันดับ 1. เครื่องดื่ม Starbucks ฟรี 2.ตั๋วเครื่องบินในประเทศ Thai Smiles และ 3.บริการห้องรับรองพิเศษชั้นธุรกิจของการบินไทย
ธนาคารกสิกรไทย นับเป็นธนาคารพาณิชย์ของไทยอีกแห่งหนึ่ง ที่ปักธงรุกหนักธุรกิจเวลธ์ ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 172,000 ราย มีสินทรัพย์ที่รับบริหาร 1.4 ล้านล้านบาท โดยแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่ม เริ่มจากเงินฝากและเงินลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ให้บริการภายใต้ชื่อ “THE WISDOM” มีลูกค้าประมาณ 160,000 ราย มีสินทรัพย์ที่บริหารทั้งหมด 600,000 ล้านบาท ส่วนลูกค้าที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ให้บริการภายใต้ “KBank Private Banking” มีลูกค้าประมาณ 12,000 ราย มีสินทรัพย์ที่บริหารรวมกัน 800,000 ล้านบาท
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ธนาคารกสิกรไทย จัดให้กับลูกค้า “THE WISDOM” มีดังนี้ ใช้บริการห้องรับรองพิเศษ “THE WISDOM LOUNGE” ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และ THE WISDOM CENTER ให้บริการทำธุรกรรมด่วนพิเศษ และห้องประชุมส่วนตัว ใช้บริการสปา หรือ ห้องอาหาร ณ โรงแรมชั้นนำ ได้ส่วนลดพิเศษ บริการที่จอดรถห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าชั้นนำ บริการห้องรับรองพิเศษ Priority Pass ณ สนามบินชั้นนำทั่วโลก บริการ Miracle Lounge ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง อัปเกรดที่นั่งพิเศษตั๋วโดยสารเครื่องบินภายในประเทศ
กลุ่มลูกค้า Private Banking จัดเป็นกลุ่มที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ พร้อมให้บริการในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษา สร้างความเติบโต และส่งต่อความมั่งคั่ง ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน ทั้งทรัพย์สินทางการเงิน ธุรกิจครอบครัว อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ
ลูกค้า KBank Private Banking ได้สิทธิประโยชน์เหนือกว่า THE WISDOM อาทิ บริการให้คำปรึกษาและวางแผนการเงินส่วนบุคคลและธุรกิจแบบส่วนตัว อัตราดอกเบี้ยพิเศษบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี สำหรับเงินฝากประจำ 6 เดือน ฟรีค่าธรรมเนียมเช็ค 10 ฉบับต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน บริการผู้ช่วยส่วนตัว 24 ชั่วโมงทั่วโลก ฟิตเนส ณ โรงแรม และฟิตเนสคลับชั้นนำ บริการตรวจสุขภาพประจำปี และบริการตรวจเฉพาะทาง ณ โรงพยาบาลชั้นนำปีละ 1 ครั้ง บริการห้องรับรองพิเศษคอรัล ณ สนามบินภูมิภาค อัปเกรดบัตรโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดภายในประเทศของสายการบินไทยเป็นชั้นธุรกิจ และการบินไทยสมายล์ เป็นชั้น Eco Premium ปีละ 2 ครั้ง
มาดูสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้า KBank Private Banking และ THE WISDOM เลือกใช้มากที่สุด ตามลำดับ ดังนี้ บริการแจ้งการเปลี่ยนแปลงยอดบัญชีเงินฝากผ่าน SMS ไม่จำกัดจำนวนบัญชี บริการยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บริการสมุดเช็ค ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการซื้อสมุดเช็ค 5 เล่มต่อปี ศูนย์บริการเดอะวิสดอมกสิกรไทย ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บริการห้องรับรองพิเศษ ณ สนามบินชั้นนำทั่วโลก บริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge ณ สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ และบริการตรวจสุขภาพประจำปี และบริการตรวจเฉพาะทาง ณ โรงพยาบาลชั้นนำปีละ 1 ครั้ง
ธนาคารกรุงเทพ นับเป็นธนาคารพาณิชย์ของไทยอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่นำร่องทำตลาดลูกค้าเวลธ์เปิดให้บริการพิเศษภายใต้ชื่อ “บัวหลวงเอ็กซ์คลูซีฟ” ลูกค้าต้องมีสินทรัพย์ให้ธนาคารบริหารจัดการตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันมีฐานลูกค้ามากกว่า 100,000 ราย
กลยุทธ์ดูแลลูกค้าเวลธ์ ธนาคารกรุงเทพได้จัดตั้งทีมที่ปรึกษา Wealth Hub ซึ่งประกอบด้วยทีมที่ปรึกษา Wealth Advisor ที่รับผิดชอบในการดูแลลูกค้าระดับ Affluent มีสินทรัพย์ให้ธนาคารบริหาร ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดย Wealth Advisor จะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างเข้มข้นในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง เหมือน “เพื่อนคู่คิด” ที่แนะนำด้านการเงินการลงทุนแบบครบวงจร
ในมิติการพัฒนาด้านบริการ ธนาคารยังได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพัฒนา Wealth Digital Platform ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับทีมที่ปรึกษาการเงินการลงทุน ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า และ portfolio structure ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่นำเสนอพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม ดำเนินการติดตามเพื่อให้แผนการลงทุนของลูกค้าประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำการลดหรือกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม
ในเรื่องของสิทธิพิเศษ บัวหลวงเอ็กซ์คลูซีฟ ให้สิทธิประโยชน์แก่ ลูกค้าอย่างเต็มที่เช่นกัน เช่น บริการห้องรับรอง ณ สาขาธนาคาร สิทธิพิเศษในหมวดท่องเที่ยว เช่น บริการห้องรับรอง ณ สนามบินชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยบัตร Priority Pass บริการรถลีมูซีนที่สนามบิน สิทธิพิเศษทางการเงิน เช่น ส่วนลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม ส่วนลดบริการตู้นิรภัย ที่จอดรถพิเศษ ตลอดจนบริการชุดน้ำชายามบ่ายและบริการนวดแผนไทย
ธนาคารกรุงไทย มีฐานลูกค้าเวลธ์ใกล้เคียงกับคู่เทียบในอุตสาหกรรม แบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.Krungthai Precious เงินลงทุน 2-10 ล้านบาท 2.Krungthai Precious Plus เงินลงทุน 10-50 ล้านบาท และ 3.Krungthai Precious Plus Infinite เงินลงทุน 50 ล้านบาทขึ้นไป
จุดแข็งธุรกิจเวลธ์ ของธนาคารกรุงไทย คือ การสร้างบริการที่ “แตกต่าง” และ “ตอบโจทย์” ความต้องการของลูกค้าตามไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ภายใต้แนวคิด “ส่งต่อความมั่งคั่งอย่างไม่สิ้นสุด (Infinity of Wealth)” ดำเนินการภายใต้ 3 กลยุทธ์ คือ Wealth Experts, Product Solutions และ Superior Privileges
กลยุทธ์ที่สร้าง “ความแตกต่าง” คือ กลยุทธ์ Superior Privileges เป็นการส่งมอบความสุขให้ลูกค้า ด้วยเอกสิทธิ์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มที่ชื่นชอบการเดินทาง และกลุ่มที่ชอบทานอาหารนอกบ้าน โดยธนาคารได้คัดสรรสิทธิพิเศษแยกตามไลฟ์สไตล์ลูกค้า ดังนี้
1.Superior Health เอกสิทธิ์ด้านสุขภาพ จัดแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปีระดับ Executive ให้กับลูกค้า ณ โรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ ครอบคลุมรายการตรวจสุขภาพกว่า 14 รายการ “บริการ Spa” ให้ลูกค้าได้นวดผ่อนคลายที่ SPA Cenvaree และ Cense by SPA Cenveree แบรนด์สปาในเครือเซ็นทารา
2. Superior Travel เอกสิทธิ์ด้านการเดินทาง สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว ด้วยการมอบบัตรเครื่องบินโดยสารไป-กลับเส้นทางภายในประเทศ พร้อมบริการรถ Limousine รับ-ส่ง พร้อมคนขับรถ และ 3.Superior Dining ให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อย ด้วยสิทธิประโยชน์จากร้านอาหารชั้นนำ ทั้งฟูจิ เอ็มเค และซิซซ์เล่อร์
ขณะที่ในฝั่งของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นั้น ธุรกิจบริหารเงิน บริหารความมั่งคั่งให้บรรดาเศรษฐีหรือผู้มีอันจะกิน ก็มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐีที่ฝากเงินรอกินดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่สามารถอยู่ได้สบายเหมือนในอดีต หลังดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาต่อเนื่องยาวนาน 10-20 ปี จึงทำให้เงินฝากธนาคารบางส่วน ไหลออกมาให้มืออาชีพบริหารเงิน หาผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆให้
“ณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์” หัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล บล.เกียรตินาคินภัทร ซึ่งถือเป็นบริษัทหลักทรัพย์แรกๆที่รุกทำธุรกิจนี้ โดยมีเศรษฐี เจ้าของกิจการ ขนเงินมาให้บริหารเริ่มต้นตั้งแต่ระดับ 30 ล้านบาท จนถึงระดับหมื่นล้าน!! ปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตรวมกันมากกว่า 600,000 ล้านบาท ยืนเทียบชั้นแถวหน้าสู้แบงก์ใหญ่ได้ โดย “ณฤทธิ์” กล่าวว่า เกียรตินาคินภัทรฯมีบริการสิทธิพิเศษ หรือพริวิเลจให้ ลูกค้าระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ให้ความสำคัญมากนัก เพราะเราเน้นการสร้างโอกาสเข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายและน่าสนใจจากทั่วโลกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับลูกค้า
ดังนั้น สิ่งที่เรามีบริการเพื่อเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าจึงอาจต่างจากแบงก์หรือบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ เช่น เราจัดสิทธิพิเศษให้ลูกค้าในการเข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แบบ exclusive หรือให้สิทธิพิเศษในการส่งบุตรหลานเข้าร่วม Wealth Management internship Program เป็นต้น นอกเหนือจากสิทธิในการใช้บริการรถลีมูซีนรับส่ง และสิทธิในการใช้เลานจ์ชั้นนำในสนามบิน รวมทั้งการเข้าร่วมชมการแสดงเชิงศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ หุ่นกระบอกมูลนิธิจักรพันธุ์ มโนรา หรือชมการแสดงบัลเล่ต์ ซึ่งเป็นสิทธิที่เหมือนกับลูกค้าแบงก์ทั่วไป
“ณฤทธิ์” ระบุว่า “เกียรตินาคินภัทร” วางตัวเองเป็น “Best global private bank for Thais” บริษัทที่สามารถแสวงหาการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆได้จากทั่วโลกที่ดีที่สุดให้กับคนไทย เช่น เมื่อรับโจทย์จากลูกค้า ทีมจะนำมาประเมินออกแบบพอร์ต เพื่อบริหารจัดการการลงทุน และคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน โดยมีบทวิจัยสนับสนุน เรามีจุดแข็งที่ทีมวิจัยและงานวิจัย และยังสามารถเลือกและเข้าถึง “สินทรัพย์” ที่ดีที่สุดในตลาดให้ลูกค้าได้ ด้วยจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่อยู่ในธุรกิจนี้มานาน รวมทั้งการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ลงทุนใหม่ๆเป็นเจ้าแรกให้ลูกค้าทั้ง structure note และ private market คือการเข้าไปลงทุนโดยตรงในบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจดีมีอนาคตก่อนที่บริษัทจะระดมทุนเข้าตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี
นอกจากนี้ การบริหาร Wealth Management ให้กับลูกค้าของเรานั้น ยังรวมถึงการจัดโครงสร้างสินทรัพย์ หรือการจัดโครงสร้างธุรกิจของครอบครัวให้ลูกค้าด้วย รวมทั้งการทำข้อตกลงหรือ “ธรรมนูญครอบครัว” ซึ่งถือเป็นบริการที่ช่วยดูแลทรัพย์สินครบทุกมิติให้กับลูกค้า เพื่อป้องกันความขัดแย้งภายในครอบครัว โดยเฉพาะตระกูลธุรกิจดั้งเดิมที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นที่ 3
“ณฤทธิ์” ยังระบุว่า ทิศทางของธุรกิจ Wealth Management ยังโตได้อีกเยอะมาก โดยฉายภาพถึงเทรนด์ที่ทำให้ Wealth Management เติบโต เทรนด์แรกคือ Less deposit more investment หลังคนทนรับดอกเบี้ยเงินฝากต่ำไม่ไหว จึงนำเงินออกมาให้ “มืออาชีพ” ลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นมาต่อเนื่องในช่วง 10 กว่าปีมานี้ ประกอบกับเริ่มมีการถ่ายโอนส่งมอบธุรกิจให้รุ่นลูกหลานเข้ามาช่วยดูแล ซึ่งคนกลุ่มนี้เปิดรับและเข้าใจการลงทุนมากกว่า จึงเป็นแรงผลักดันให้มีการนำเงินจากรุ่นพ่อแม่ที่มี comfort zone อยู่ที่การฝากเงินในธนาคาร จึงนำเงินออกมาให้มืออาชีพบริหารจัดการให้มากขึ้น ตลาดจึงใหญ่ขึ้น
ต่อมา คือเทรนด์ของ less local more global หลังทางการได้ปลดล็อกผ่อนคลายกฎให้นำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ และคนไทยเริ่มเห็นความจำเป็นในการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นต่างประเทศที่มีความหลากหลายของธุรกิจและมีโอกาสหาผลตอบแทนได้มากกว่า จึงมีความจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญของนักบริหารเงินมาบริหารจัดการให้ จะเห็นว่าปีที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวลงจากวิกฤติโควิด แต่บริษัทเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ได้โอกาสจากวิกฤติโควิดกลับให้ผลตอบแทนสูงมาก 30-70% นี่คือประตูหรือโอกาสในการลงทุนที่เปิดกว้างและหลากหลายมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาในช่วง 5-6 ปีนี้
อีกเทรนด์ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศและเริ่มเห็นในเมืองไทยมากขึ้น คือเศรษฐีหรือนักธุรกิจที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนอย่างดี แต่ไม่มีเวลาหรือไม่ต้องการลงทุนเอง และต้องการมอบอำนาจให้มืออาชีพตัดสินใจลงทุนให้ เพียงแต่ลูกค้าบอกคอนเซปต์หรือความต้องการหลักๆมา นักบริหารเงินจะมีการจัดทำเมนูการลงทุน ให้อยู่ในรูปแบบ total solution คือจัดพอร์ตโฟลิโอให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งต้องอาศัยนักบริหารเงินมืออาชีพเท่านั้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจบริหารเงินยังเติบโตได้อีกมาก
เช่นเดียวกับ “กุลธิดา กุลวิบูลย์อนันต์” Head Wealth Management ของ บล.เอเซียพลัสที่ให้เหตุผลว่าทำไมบรรดาเศรษฐีนักธุรกิจทั้งหลายถึงนำเงินมาให้บริษัทหลักทรัพย์บริหารจัดการลงทุนให้ ว่า เพราะลูกค้าต้องการการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น จึงมาหา expertise หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ บริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทจัดการกองทุนจึงเป็นคำตอบ
ลูกค้าที่มาหาเราส่วนใหญ่ต้องการให้ลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนให้เป็นหลัก ไม่ได้มองหาพริวิลเลจ หรือต้องการสิทธิพิเศษอื่นๆ ดังนั้น สิ่งที่เราให้สิทธิพิเศษกับลูกค้า Wealth ของเราซึ่งอาจจะแตกต่างจากที่อื่น ซึ่งถือเป็นพริวิลเลจได้ เช่น พาลูกค้าไปดูธุรกิจที่เราแนะนำให้ลูกค้าออกไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น พาไปดูสตาร์ตอัพที่ประเทศอิสราเอล เพื่อลงทุนใน cyber security หรือพวกเทกคอมปะนี ซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงมากถึงหลายเท่าตัว หรือพาไปพบผู้จัดการกองทุนและเจ้าของธุรกิจในเวียดนามที่เรานำเงินลูกค้าไปลงทุน
หรือเมื่อหลายปีก่อนเราพาลูกค้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ ซึ่งถือเป็นการออกไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเป็นกลุ่มแรกๆ เพราะเราเห็นโอกาสที่ในช่วงนั้นอังกฤษเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกลงมามาก เป็นต้น
“เอเซียพลัส เคยทำโฟกัสกรุ๊ป พบว่าลูกค้าที่มาใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์บริหารเงินให้ ไม่ได้ต้องการบริการหรือพริวิลเลจอื่นๆ เพราะไปรับบริการได้จากแบงก์อยู่แล้ว แต่มองเรื่องความเชี่ยวชาญในการลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นหลัก ขณะที่มองว่าแบงก์อาจจะมีการลงทุนที่ conservative มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ลูกค้าเหล่านี้มีการใช้บริการทั้งบริษัทหลักทรัพย์และแบงก์ หรือใช้บริการหลายแบงก์อยู่แล้วด้วย”
ปัจจุบันมูลค่าเงินทุน หรือพอร์ตลูกค้าเศรษฐีที่เอเซียพลัสบริหารอยู่รวมกันร่วม 50,000 ล้านบาท ลูกค้าที่เรารับบริหารเงินทุนให้ เริ่มต้นตั้งแต่ระดับ 5–10 ล้าน จนถึงหลายพันล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ที่ 30 ล้านขึ้นไป โดยจุดแข็งของเอเซียพลัสเรามีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนให้ลูกค้าในทุกมิติ ทั้งสินทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศ โดยเราพา ลูกค้าไปซื้อหุ้นโดยตรงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนิวยอร์ก ดาวโจนส์ แนสแดก เอสแอนด์พี หรือกองทุน ETF รวมทั้งออกไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง เช่น กองทุนเวลลิงตัน ส่วนตลาดตราสารหนี้ ก็ได้พาลูกค้าลงทุนทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง รวมทั้งยังออกโปรดักส์หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อให้ลูกค้าได้ลงทุนตามความสนใจหรือความต้องการของลูกค้าด้วย
ดังนั้น เอเซียพลัสจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนขายหน่วยลงทุนของกองทุนต่างๆ ของทุก บลจ.เท่านั้น แต่เราเป็นมากกว่านั้น!! โดยเรามุ่งส่งต่อคุณค่าที่เหนือกว่าความมั่งคั่งให้กับลูกค้า สิ่งนี้คือพริวิลเลจ หรือสิทธิพิเศษที่เราให้กับลูกค้า
ด้านโบรกเกอร์น้องใหม่ เล็กพริกขี้หนู อย่าง บล.เคทีบีเอสที (ประเทศไทย) ซึ่งมีเศรษฐีนำเงินมาให้บริหารจัดการ จนทำให้มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงถึง 70,000 ล้านบาท โดย “จักรกริช เจริญเมธาชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานที่ปรึกษาการลงทุนและความมั่งคั่ง บอกกับเราว่า เคทีบีเอสทีฯใช้กลยุทธ์ในการดึงลูกค้า ทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน และการให้สิทธิพิเศษหรือสุดยอดพริวิลเลจสำหรับลูกค้าอย่างเต็มที่ นอกจากการออกแบบพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงของลูกค้าแล้ว การดูแลลูกค้ากลุ่ม Wealth ของเราโดดเด่นไม่แพ้ใคร!!
เพราะความเป็นโบรกฯเล็ก เราจึงสามารถดูแลใส่ใจลูกค้าทั่วถึงมากกว่า โดยเราจัดกลุ่มลุกค้าทั้งจากมูลค่าเงินที่นำมาให้บริหาร ตั้งแต่ 5-50 ล้านบาท และตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากการให้สิทธิพิเศษทั่วไป ที่เหมือนกับแบงก์นำเสนอให้ลูกค้า ทั้งการใช้บริการที่สปาหรูทุกเดือน การจัดที่จอดรถพิเศษในห้างสรรพสินค้า บัตรทานอาหารที่สุกี้เอ็มเค หรือดื่มกาแฟที่สตาร์บัคแล้ว เรายังจัดกลุ่มให้บริการลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ด้วย เช่น กลุ่มที่สนใจเรื่องเครื่องดื่มและอาหาร ก็จะมีการจัดคลาส เชิญผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้เรื่องไวน์ราคาแพง การจัดงานไวน์ เทสติ้ง และ wine&food pairing จับคู่อาหารกับไวน์ รวมทั้งการจัด ค็อกเทล คลาส เชิญ mixologist มาสอนการผสมคอกเทลสูตรพิเศษต่างๆ พร้อมเปิดห้องนอนที่โรงแรมหรู 6 ดาว อย่างวอลดอล์ฟ เป็นต้น
หรือการจัดทานอาหารมื้อพิเศษกับ chef table ชื่อดัง รวมทั้งการจัดอีเวนต์ จัดกลุ่มลูกค้ามา “ทานข้าวบ้านเผ่าทอง” พร้อมฟังบรรยายจากอาจารย์ เผ่าทอง ทองเจือ หรือลูกค้าผู้ชายที่ชอบรถหรูหรือกีฬาผาดโผน ก็มีการจัดอีเวนต์ test drive รถ super car รวมทั้งจัดคลาสให้ความรู้เรื่องการลงทุนเพชร ทองคำ นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม อสังหาริมทรัพย์ ตามความสนใจของลูกค้า รวมทั้งยังมีดีลนำสินค้าแบรนด์เนมหรูระดับลักซ์ชัวรีมาขายให้ลูกค้าในราคาพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีพาลูกค้าไปดูงานต่างประเทศ เช่น ไปดูอาณาจักรของอาลีบาบา หรือไปพักผ่อนท่องเที่ยวเปิดโลกตามที่ต่างๆในช่วงที่ไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการจัดอีเวนต์ให้ลูกค้าเพื่อให้มีการเชื่อมโยง connection ระหว่างกัน และเชิญผู้บริหารซีอีโอ เจ้าของกิจการในตลาดหุ้นมาพูดคุยสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นต้น
ปิดท้าย ผู้บริหารเงินให้บรรดาเศรษฐีเมืองไทย ทั้ง 3 บริษัทหลักทรัพย์นี้ ยังให้มุมมองถึงทิศทางธุรกิจ Wealth Management ว่ายังสามารถเติบโตได้อีกเยอะมาก เพราะยังมีเงินของเศรษฐีหรือผู้มีความมั่งคั่ง ที่ยังไม่ได้นำออกมาบริหารจัดการลงทุนอีกมาก รวมทั้งมีคนรุ่นใหม่ที่เห็นความจำเป็นและโอกาสในการนำเงินมรดกหรือทรัพย์สินที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการบริหารจัดการ เพื่อนำมาหาผลตอบแทนจากการลงทุน ในโลกการลงทุนที่หลากหลายกว่าในอดีต รวมทั้งเศรษฐีหน้าใหม่ที่รวยเร็วจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่แม้บางส่วนอาจจะออกไปลงทุนเองโดยตรง แต่สุดท้ายส่วนใหญ่จะถูกส่งต่อมาให้มืออาชีพบริหารจัดการให้
ขณะที่ผู้บริหารทั้ง 3 บริษัท ยังมีมุมมองในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจุบันการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบริหารจัดการลงทุนให้เศรษฐีในเมืองไทยนั้นก็ยังคงมีการแข่งขันที่สูงมาก ทั้งจากแบงก์ที่ต้องรักษาฐานลูกค้าเงินฝากของตัวเอง ให้เข้ามาใช้บริการ Wealth Management ของธนาคาร หรือบริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทจัดการลงทุนในเครือของแบงก์เอง
รวมทั้งการแข่งกันจากบริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการลงทุนอื่นๆที่ไม่ได้เป็นบริษัทลูกของแบงก์ รวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพใหม่ๆที่สร้างแอปพลิเคชัน หรือโปรแกรมการบริหารจัดการเงินหรือสินทรัพย์ให้กับบรรดาเศรษฐีทั้งหลายด้วย!!
ทีมเศรษฐกิจ