ปิดทองหลังพระขยายผลจ้างผู้ว่างงานจากโควิดระยะ 2 นำประสบการณ์จากการทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดอีสาน ขยายเป็น 9 จังหวัดในพื้นที่ต้นแบบ เพื่อ จ้างผู้ว่างงาน คาดจะสร้างประโยชน์ให้ 22,500 ครัวเรือน มีพื้นที่รับประโยชน์จาก น้ำเพิ่มขึ้น 126,000 ไร่ น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น 99 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรกรมีรายได้ไม่น้อยกว่า 3,266 บาทต่อเดือน หรือราว 882 ล้านบาทต่อปี
ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ กล่าวว่า โครงการฝ่าวิกฤติด้วยเศรษฐกิจ และสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริม และพัฒนากิจกรรมปิดทอง หลังพระ ภายหลังเกิดความสำเร็จเป็นอย่างดีจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ต้นแบบ 3 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ในเวลาเพียง 5 เดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ก.ค.2563
สำหรับโครงการฝ่าวิกฤติด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ จะจ้างแรงงานผู้รับผลกระทบจากโควิด-19 และต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาทั้งหมด 9 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ต้นแบบของปิดทองหลังพระ ได้แก่ น่าน อุทัยธานี เพชรบุรี อุดรธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ประมาณ 450 โครงการที่แตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่น ปัญหาความต้องการ ความพร้อมของชุมชนผ่าน การทำประชาคมของแต่ละจังหวัด อาจรวมถึงจังหวัดอื่นที่มีความต้องการและพร้อมดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาของปิดทองหลังพระมีการศึกษาวิเคราะห์ผลลัพธ์ และผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากโครงการ ทั้ง 9 จังหวัด คาดว่าแหล่งน้ำที่จะได้รับการซ่อมแซมและเสริมศักยภาพ 450 โครงการ คาดว่า 22,500 ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จะสามารถมีน้ำทำการเกษตรลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ไม่น้อยกว่า 3,266 บาท ต่อเดือน เพิ่มพื้นที่รับประโยชน์ 126,000 ไร่ น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น 99 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าจะมีรายได้ 882 ล้านบาทต่อปี
โดยรูปแบบการทำงานปิดทองหลังพระ เป็นผู้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ ประชาชนมีส่วนร่วมสละแรงงาน ส่วนงานที่ยาก และใช้เวลาสามารถใช้เครื่องจักรกลได้ หรือกรณีต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคเฉพาะก็สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดำเนินการได้ เป็นการทำงานตามแนวทางในพื้นที่ต้นแบบ และประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายพื้นที่
“จากประสบการณ์จ้างงานพื้นที่ 3 จังหวัดอีสานรวม 352 คน ลงทุนไป 65 ล้านบาท ชาวบ้านได้ประโยชน์ 217 ล้านบาท หรือลงทุน 1 บาท จะได้เงินคืนที่ชาวบ้าน 3.3 บาท และที่ สำคัญคนที่เราจ้างงานไว้ประมาณ 54% ไม่คิดจะกลับไปทำงานนอกพื้นที่ เราทำเล็ก แต่ได้ใหญ่ แหล่งน้ำบางแห่งใช้เวลา 8 วันเสร็จ ชาวบ้านได้ใช้น้ำทันที”
สำหรับคนเหล่านี้เป็นคนวัยทำงาน มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ก็นำความรู้ของเขามาช่วยงานของสถาบัน เป็นอาสาสมัครพัฒนาพื้นที่ช่วยประสานงานทำโครงการร่วมกับคนในหมู่บ้าน บางคนเป็นบ้านเกิดของตนเอง จึงพูดคุยหารือกับคนในหมู่บ้านได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสให้คนเหล่านี้ได้มาเรียนรู้แนวพระราชดำริ หลักการทรงงานแท้จริงโดยลงมือปฏิบัติ และมีโอกาสกลับมาช่วยเหลือบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง ถือเป็นงานที่เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งนี้ พอระบบน้ำสำเร็จ ก็มีการเดินหน้าทำงานต่อด้วยการวางแผนการทำเกษตรในพื้นที่ให้สอดคล้องกับระบบน้ำที่ได้ตลอดทั้งปี อาทิ การทำนาหลังการเก็บเกี่ยวแล้วจะปลูกพืชหลังนาอะไรบ้างที่ทำรายได้ให้กับครัวเรือน เป็นการวางแผนตลอดปี
“เขาจะมีรายได้ตลอดปี เป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ได้ อย่างน้อยก็มีพืชผักอาหารไว้กินที่บ้านไม่ต้องซื้อ เป็นการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ จะไปสร้างมูลค่าต่อด้วยการหาตลาด ทำส่งขายก็สามารถพัฒนาต่อไปได้ด้วยตนเอง ...การทำงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป้าหมายหลักก็คือ ครัวเรือน ชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการพัฒนาต้องขึ้นอยู่กับความต้องการชาวบ้านเป็นหลัก ไม่ได้มีใครไปบังคับ เขามองเห็นปัญหาของตนเองแล้วร่วมมือแก้ไข สุดท้ายก็เกิดประโยชน์กับตัวเอง” คุณชายดิศกล่าว.