นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซี และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) จะเดินเครื่องผลิตปิโตรเคมีเต็มกำลังผลิต แม้ขณะนี้ประเทศจีนจะมีความต้องการใช้ลดลงจากการปิดโรงงานผลิตจากกรณีไวรัสโคโรนาโดยเชื่อว่าผลกระทบจะเป็นการชั่วคราว และคาดว่าในไตรมาสที่ 2 โรงงานอุตสาหกรรมในจีนส่วนหนึ่งจะกลับมาเดินเครื่องการผลิต นอกจากนี้ ปตท.จะได้อานิสงส์จากที่โรงงานปิโตรเคมีในหลายๆประเทศทั่วโลกปิดกิจการ จากผลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่อาจเป็นโอกาสเพิ่มการส่งออกของผลิตภัณฑ์กลุ่ม ปตท.มากขึ้น
ส่วนนโยบายที่รัฐบาลให้ ปตท.เร่งลงทุนในสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า รวมทั้งศึกษาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในขณะนี้ที่มีราคาต่ำมาทดแทนก๊าซธรรมชาติในประเทศ ในส่วนของแอลเอ็นจี ปตท.จะได้ข้อสรุปเดือน มี.ค.นี้ ว่า หากนำเข้ามาทดแทนก๊าซธรรมชาติจะสามารถนำเข้าได้เกิน 1 ล้านตัน และเป็นราคาตลาดจร (สปอต) เพื่อนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก็ต้องเจรจากับผู้ผลิตปิโตรเลียม ทั้งฝั่งอ่าวไทยและเมียนมาให้ชัดเจนก่อน และในปีนี้กลุ่ม ปตท.จะใช้เงินลงทุนรวม 100,000 ล้านบาท
“ล่าสุด ปตท.ได้เสนอไปยังรัฐบาล ว่าควรดำเนินโครงการป้องกันปัญหาภัยแล้งในอนาคต โดยเฉพาะน้ำเพื่ออุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ทั้ง จ.ชลบุรี ระยอง ให้เพียงพอ ด้วยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ทั้งระบบในรูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชน (พีพีพี) นำน้ำทะเลมาทำเป็นน้ำจืด เพื่อสร้างความมั่นคงแก่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่ง ปตท.พร้อมเข้าร่วมทุนโครงการผลิตน้ำอุตสาหกรรมจากน้ำทะเล เพราะเทคโนโลยีการผลิตน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดในปัจจุบันมีต้นทุนต่ำลง โดยโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ และจีซีมีการผลิตด้วยระบบนี้ 20% ของความต้องการใช้น้ำอุตสาหกรรม”