นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษงานสัมมนา Hong Kong Business Seminar cum Networking Luncheon in Bangkok, Thailand ในโอกาสที่นางแครี แลม ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และนายเอ็ดเวิร์ด เหยา รมว.พาณิชย์และ การพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง นำคณะนักธุรกิจฮ่องกงมาเยือนประเทศไทย โดยนายสมคิดกล่าวว่า การเดินทางมาเยือนไทยของนางแครี แลม พร้อมคณะนักธุรกิจฮ่องกงครั้งนี้ ถือเป็นการมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกที่ใหญ่ที่สุด และมีความมั่นใจว่า ผลการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ประเทศ จะเพิ่มมูลค่าด้านสินค้าและบริการ โดยปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทยกับฮ่องกงมีมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 1 ปี หรือปี 63 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากฮ่องกงเลือกไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงาน Hong Kong Economic and Trade Office ( HKETO) ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะเพิ่มความร่วมมือให้ทั้ง 2 ประเทศได้มากขึ้น
ดังนั้น ช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนฮ่องกงจะย้ายฐานผลิตสินค้ามาที่ไทย ไม่ใช่ไปลงทุนที่เวียดนาม เนื่องจากประเทศไทยอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม) โดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดทุนไทยของนักลงทุนฮ่องกง แม้ตลาดทุนไทยจะมีขนาดเล็กกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ ที่สำคัญบริษัทจดทะเบียนไทยจำนวนมาก ได้เข้าไปลงทุนในซีแอลเอ็มวีอยู่แล้ว ทั้งการก่อสร้างเขื่อน ลงทุนด้านพลังงานและอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้น หากมีความร่วมมือระหว่างกันแล้ว นักลงทุนฮ่องกงสามารถอาศัยช่องทางนี้ ลงทุนผ่านบริษัทจดทะเบียนของไทยไปลงทุนในซีแอลเอ็มวีได้
นายเอ็ดเวิร์ด เหยา รมว.พาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า ฮ่องกงเป็นเศรษฐกิจเปิด สิทธิประโยชน์ต่างๆที่มีในฮ่องกงจะได้รับการส่งต่อไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเป็นฐานให้ทุกประเทศเข้าไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ด้านนายแพทริก โล รองผู้อำนวยการ สภาพัฒนาการค้า เขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของฮ่องกง และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน โดยฮ่องกงสนใจที่รัฐบาลไทยมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และมีอีอีซี ซึ่งหากไทยและฮ่องกงเชื่อมโยงกันได้ใช้ประโยชน์จากการเติบโตของซีแอลเอ็มวี จะทำให้มูลค่าการค้าและลงทุนเพิ่มขึ้นแน่นอน.